วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ตอบจดหมาย (ตอนสอง)

โอเค หลังจากผมจดหมายฉบับแรกไป แฟนๆ อีเมล์เข้ามาถามปัญหากันใหญ่เลยครับ ส่งกันเข้ามาเรื่อยๆเลยนะครับไม่ต้องเกรงใจ วันนี้ขอตอบฉบับนึงละกัน

“พี่เต้คะ สวัสดีค่ะ ตามอ่านมานานแล้วค่ะ แต่ไม่กล้าเขียนเข้ามาถามคำถามพี่เต้ ยังไงวันนี้ขอรบกวนหน่อยนะคะ หนูมีปัญหาอยากปรีกษาพี่เต้ค่ะ ตอนนี้หนูเรียนมัธยมอยู่โรงเรียนแถวลาดพร้าวค่ะ เพิ่งขึ้นม.สี่ปีนี้ค่ะ หนูเพิ่งรู้สึกว่าเพื่อนๆผู้ชายที่โรงเรียนเดี๋ยวหน้าตาหล่อขึ้นมากเลยค่ะ ไม่รู้ไปฟิตที่ไหนกันมา สูงบึ้กกล้ามใหญ่ไม่เหมือนตอนอยู่ม.ต้นเลย รู้สึกอยากเข้าไปขอเบอร์ทำความรู้จักซะให้หมดเลย อย่างนี้ถือว่าบ้าผู้ชายรึเปล่าคะ แล้วการบ้าผู้ชายนี่เป็นโรคจิตอย่างนึงรึเปล่าคะ ถ้างั้นหนูควรจะทำยังไงคะแต่ว่าไม่อยากบอกให้ที่บ้านรู้ค่ะ ถ้าคุณพ่อรู้ล่ะก็บ้านแตกแน่ค่ะ รบกวนตอบด้วยนะคะ”

ถ้าหนูติดตามมาถึงตอนที่ผ่านมาคงรู้แล้วว่าร่างกายและจิตใจมนุษย์นั้นวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ เพื่อให้เราอยู่รอด และสืบพันธุ์ออกลูกออกหลาน เพราะฉะนั้นเรื่องผู้ชายเป็นเรื่องธรรมชาติครับ โตขึ้นเข้าม.ปลายแล้วฮอร์โมนก็พุ่งพรวดๆ แอบมองหนุ่มคนนั้นนิดคนนี้หน่อยนึงไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติอะไร อื่ม แต่ว่าทำไมธรรมชาติวิวัฒนาการขึ้นมาให้เราชอบคนหุ่นดี หน้าตาดีล่ะเนี่ย ถ้าเราลองคิดดูว่าหน้าตาแบบไหน หุ่นแบบไหนกันที่เราว่าดี เท่านั้นคำตอบก็จะชัดขึ้นมาเลยล่ะครับ

สำหรับจดหมายฉบับนี้มาดูดีกว่าหนุ่มแบบไหนที่สาวๆ เค้าว่าฮอต ลองมาวิเคราะห์กันแต่ละแบบ แต่ละนาย



1) ผู้ชายหน้าตาบ้านๆ

อ้่าโจเซฟ กอร์ดอน เลฟวิท หนุ่มหน้าตาบ้านๆ ทั่วไป เหมือนกับหนุ่มข้างบ้านที่เจอเกินที่ลิฟต์ที่คอนโดตอนหลังเลิกงาน เห็นแล้วก็แอบเก็บกรีี๊ดอยู่ในใจ บางทีก็หวานซะเหมือน 500 Days of Summer บางทีก็เท่ซะเหมือนใน Inception โอย โอย เห็นแล้วใจละลาย อยากหอมแก้ว หยิกแก้มให้หายหมั่นเขี้ยว

หน้าตาบ้านๆ คือหน้าตาคล้ายๆ เหมือนคนทั่วไปที่เราพบปะพบเจอ ถ้าจะว่าใช้ชัดๆกว่านั้นก็คือ คนมักจะชอบคนที่มีความยาวปาก ขนาดตา ความยาวของกราม ความกว้างของหน้า ความหนาของคาง ฯลฯ ใกล้ๆกับค่าเฉลี่ยของคนที่เราเคยเจอ ตัวอย่าง


(ผู้ชายข้างบน ผู้หญิงข้างล่าง)
ซ้ายสุด คือ คนจีนที่หน้าตาบ้านๆ โดยการเอารูปคนจีนยี่สิบสี่คนมาเฉลี่ยกัน
อันถัดมา คือ ฝรั่งหน้าตาบ้านๆ โดยการเอารูปฝรั่งยี่สิบสี่คนมาเฉลี่ยกัน
อันถัดมาอีก คือ เอาทั้งฝรั่งทั้งคนจีนมารวมกัน

ถ้าเทียบคนหน้าตาบ้านๆกับคนหน้าตาไม่ค่อยบ้าน เช่น


ซ้ายสุดคือหน้าที่สร้างจากคอมพิวเตอร์โดยให้ชิ้นส่วนของหน้ามีขนาดห่างจากค่าเฉลี่ย ถัดมาคือใกล้ค่าเฉลี่ยขึ้น ส่วนขวาสุดเอาหน้ามาผสมกับหน้าตาบ้านๆ เฉลี่ยแล้ว

ปรากฎว่าคนชอบหน้าทางขวามากที่สุดครับ เพราะเป็นหน้าที่บ้านที่สุด

โอเค แล้วไงเรื่องนี้ก็รู้ๆกันอยู่แล้ว แต่ว่าเพราะอะไรกันล่ะ ทำไมมนุษย์ถึงถูกสร้างขึ้นมา (วิวัฒนาการขึ้นมา)ให้ชอบคนหน้าตาบ้านๆ ได้ยินคำว่าวิวัฒนาการ เราก็ต้องนึกถึงการอยู่รอดและการสืบพันธุ์ คนที่หน้าตาบ้านๆ คล้ายๆ กับคนทั่วไปเป็นคนที่ืมีการเจริญเติบโตที่เสถียรและเป็นปกติ คนที่หน้าตาไม่บ้าน หน้าตาผิดแปลกจากคนทั่วๆไป มักจะเป็นคนที่มีการเจริญเติบโตไม่ค่อยปกติ ทำให้หน้าตาออกมาประหลาด ส่วนอื่นภายในร่างกายออกมาไม่เหมือนปกติ ซึ่งอาจจะทำให้ทนต่อเชื้อโรคต่างๆ ได้น้อยลง เพราะเหตุนี้เองวิวัฒนาการเลยสร้างให้คนไม่ชอบคนหน้าตาแปลก เพราะคนหน้าตาแปลกสุขภาพดีไม่เท่ากับคนหน้าตาบ้านๆ



2) ผู้ชายที่หน้าตาคมเข้มสมชาย

อู้ว อ้า กรี๊ด เจราร์ด บัทเลอร์ กล้ามบึ้ก หนวดเฟิ้ม เสียงทุ้มลึกสมเป็น Phantom of the Opera กล้าหาญ อุกอาดสู้ไม่ถอยสมเป็นนักรบสปาร์ตัน บึกบึนเซ็กซี่ซะอยากจะขอกอดซบกล้ามอกซะให้เข็ด

อื้อหือ มาดคมเข้มอย่างแมนเลย สาวกรี๊ดตรึม หน้าตายิ่งแมนสาวยิ่งกรี๊ด หน้าตาแมนไม่ได้หมายความว่าต้องมีหนวดเครายาวเฟิ้มเสมอไป เพราะสาวบางประเทศเนี่ยไม่ชอบหนวดเคราเลย แต่ที่สิ่งที่สาวทุกประเทศทุกวัฒนธรรมชอบเหมือนกันคือหน้าตาแมนๆ

หน้าตาแมนๆ แปลว่าอะไร อันนี้ก็แล้วแต่ประเทศเช่น หนุ่มฝรั่งหน้าตาแมนๆอาจจะเน้นว่ามีกรามยาว คางเหลี่ยม ส่วนหนุ่มเอเชียแมนๆอาจจะออกแนวว่าโหนกแก้มนูน จมูกโด่ง คิ้วเข้มอะไรประมาณนั้น

แต่ผลจากทดลองที่สอบถามสาวๆ หลายๆ คน ผลปรากฎว่าสาวๆ ไม่ได้กรี๊ดหนุ่มมาดแมนอะไรขนาดนั้นเลย อ้าวเฮ้ย แล้วที่กรี๊ดๆ กันน่ะอะไรกัน มีนักวิจัยกลุ่มนึกประหลาดใจขึ้นมาเลยลองแยกสาวๆ ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นสาวๆ ช่วงต้นประจำเดือนครับ ช่วงที่สาวๆ แอบคึกคักมากกว่าช่วงอื่นนิดหน่อย ลองเอาภาพหนุ่มๆ ให้ดูแล้วถามว่า ฮอตแค่ไหน และแมนแค่ไหน เสร็จแล้วลองเอาคะแนนมาพลอตดู ผลปรากฎว่า



เห็นได้ว่าจุดๆ พวกนั้นเรียงกันเป็นเส้นชัน แสดงว่า อะโหยยิ่งแมน ยิ่งฮอตครับ ยิ่งคึกครับผม แต่สาวๆ ช่วงปลายประจำเดือนล่ะ เหะ หนุ่มๆ คงรู้ดีว่าคำตอบน่าจะเป็นยังไง



จุดกระจายไปหมด ตีเส้นชันไม่ได้ ซึ่งแปลว่า เวลาสาวๆ อยู่ในช่วงปลายประจำเดือนไม่ได้เห่อหนุ่มหน้าตาแมนอะไรเป็นพิเศษนั่นเอง

อื่ม... เพราะฉะนั้นสายตาของหญิงนั้นเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับรอบเดือน หนุ่มคมเข้มทั้งหลายอาจจะต้องแบบเป็นนักสังเกต (โดยการถาม) สักนิดนึงนะเนี่ย

อีกแล้วๆ แต่ว่าเพราะอะไรกันล่ะครับ ทำไมแมนแล้วทำไม แมนแล้วจะมีสุขภาพดีสืบพันธุ์ได้ดีกว่าคนหน้าตาไม่แมนเหรอ ผลการวิจัยออกมาว่า ไม่ครับหน้าตาแมนไม่แมน ไม่เกี่ยวเลยว่าสุขภาพดีกว่ารึเปล่า ประเด็นนี้ก็ต้องคุยต้องคิดกันต่อไปครับ ว่าทำไมสาวๆช่วงต้นประจำเดือนถึงชอบหนุ่มหน้าตาแมน ประจำเดือนเกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์เราได้แต่เดาๆ ไปว่าคัมภีร์จีโนมของหนุ่มหน้าแมนอาจจะดีกว่าคัมภีร์จีโนมของหนุ่มหน้าตาไม่แมนในทางไหนสักทาง ส่วนทางไหนนั้นถามผม ผมก็ไม่รู้จะไปถามใครครับ

ยิ่งตอบ ยิ่งยาว ไว้ตอบละกันนะ

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตอบจดหมาย (ตอนหนึ่ง)

จดหมายจากแฟนบล๊อกจิต ที่ไม่ประสงค์เอ่ยนามอีเมล์เข้ามาครับ

“ สวัสดีครับดอกเตอร์เต้ ขอเรียกว่าพี่เต้ละกัน ติดตามอ่านบล๊อกพี่มาตั้งแต่พี่เริ่มเขียนแล้ว อ่านสนุกได้ความรู้ดีครับ ในฐานะที่พี่เต้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยามากมาย ผมมีปัญหาเกี่ยวกับจิตวิทยาจะขอรบกวนถามพี่นิดนึง ถ้าว่างๆก็ช่วยตอบหน่อยนะคราบ เรื่องก็คือว่า ผมกับเมียผมแต่งงานมาได้สองปีแล้วครับ อยู่กันมีความสุขดี จนมีวันนึงมีน้องคนนึงมาฝึกงานที่บริษัท หน้าตาน้องเค้าจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูดี ลองคุยกันดูเลยรู้ว่าน้องเค้าบ้านอยู่ไกลมากอยู่แถมสมุทรปราการ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึก ซอยบ้านที่บ้านก็เปลี่ยว แม่น้องเค้าก็ไม่ค่อยอยากให้มาฝึกงานเท่าไร ผมเลยอาสาขับรถไปส่งน้องถึงบ้านทุกวัน บางวันเหนื่อยก็จะแวะกินกาแฟแถวท่าพระจันทร์นิดนึง บางวันก็จะแวะดูหนังก่อนกลับบ้าน ผมชอบน้องเค้ามากเลยครับแต่ว่าผมแต่งงานแล้วเลยคิดว่าอยากจะหาความสุขเล็กๆน้อยๆ หลังเลิกงาน ก่อนกลับบ้านไม่ได้คิดเกินเลยอะไร

แต่ว่าเมียผมน่ะสิครับ เมียผมเริ่มจะสงสัยว่าทำไมกลับบ้านช้าทุกวัน ผมไม่อยากโกหกก็เลยบอกว่าไปส่งน้องที่มาฝึกงานที่บ้านเพราะบ้านน้องเค้าอยู่ไกลเดินทางลำบาก เท่านั้นแหละเมียผมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้นอกใจซะหน่อย ไม่เคยคิดจะทำอะไรน้องเค้าเลย พี่เต้ครับอย่างนี้เรียกว่าชู้ทางใจรึเปล่าครับ ทำไมเมียผมต้องหึงแรงขนาดนั้นด้วย มีอะไรทางจิตวิทยาที่จะช่วยได้มั้ยครับ

รบกวนด้วยนะครับ รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ”

ก่อนอื่นผมยังไม่ได้เป็นดอกเตอร์ครับยังต้องรออีกนานเลยครับ แต่ว่าขอบคุณครับที่ติดตามอ่านมาตลอดรู้สึกปลื้มจริงๆ เขียนแล้วมีคนอ่าน อ่าผมขอตอบคำถามเลยดีกว่า อื่ม...เผอิญไม่เรียนมาทางบ้านปรึกษาปัญหาครอบครัวซะด้วยสิ ที่จริงแล้วเรื่องชู้ทางใจ ชู้ทางกาย หึงหวง ตบตีแย่งชิงผัว แย่งชิงเมียเนี่ย มีรากมาจากทฤษฎีวิวัฒนาการที่ผมร่ายมาตั้งหลายตอน ถ้าเอามาโยงกับจิตวิทยาเราเรียกว่าจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ

ที่เรามาเป็นคนได้ทุกวันนี้เพราะวิวัฒนาการ และการถ่ายทอดคัมภีร์จีโนม วิวัฒนาการสร้างให้คนสามารถมีชีวิตอยู่รอดในสิ่งแวดล้อมได้ ไม่ถูกไดโนเสาร์กิน แล้วก็ที่สำคัญกว่านั้นคือสร้่างให้คนอยากผสมพันธุ์ มีครอบครัว ออกลูกออกหลานสืบสายเลือดต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจิตวิทยาและสมองของคนทุกวันนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่ทำให้คนอยู่รอด และผสมพันธุ์

ตัวอย่างเรื่องการหึงหวงเนี่ยเกี่ยวกับเรื่องผสมพันธุ์ล้วนๆเลยล่ะ คุณรู้สึกว่าแค่จีบน้องที่มาฝึกงานเล่นๆ ไม่มีอะไรจริงจังเนี่ยไม่ใช่เรื่องร้ายแรง มีคนศึกษาประเด็นนี้จริงๆ ถามผู้ชายและผู้หญิงว่าชู้ทางใจหรือชู้ทางกายอันไหนร้ายแรงกว่ากัน ผลออกมาอย่างที่คิดๆ กันครับ



ผู้หญิงคิดว่าชู้ทางใจเฮิร์ทกว่า ส่วนผู้ชายคิดว่าชู้ทายกายเฮิร์ทกว่า ทำไมกันล่ะ ทำไมกันล่ะ

ถ้าว่าตามหลักจิตวิทยาวิวัฒนาการเรื่องนี้ต้้องอธิบายได้โดยหลักว่าทุกอย่างนั้นไปเพื่อความอยู่รอด และการสืบพันธุ์ เพราะฉะนั้นสาเหตุก็คือว่า ตามทฤษฎีการลงทุนเลี้ยงดู (Parental Investment Theory) ผู้หญิงเวลาท้องแล้วทำงานทำการก็ไม่ค่อยได้เท่าเดิม เลยต้องความมั่นคงจากฝ่ายชายว่าจะมาดูแลช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นถ้าฝ่ายชายเริ่มไปมีชู้ทางใจ ผู้หญิงจะเริ่มสั่นๆ และเริ่มคิดว่าจะเสียผู้ชายคนนั้นไปให้หญิงอื่น ลูกที่อยู่ในท้องก็ไม่มีพ่อมาช่วยเลี้ยง เลยอาจจะเลี้ยงไม่รอด ลูกตายไม่ได้สืบพันธุ์ต่อ

แล้วฝ่ายชายล่ะ ทำไมเฮิร์ทกว่าถ้าแฟนไปนอนกับชายอื่น เหตุผลเพราะว่าฝ่ายชายไม่ต้องตั้งท้อง สามารถเดินออกไปสืบพันธุ์กับใครก็ได้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าบางทีลูกออกมาเป็นลูกตัวเอง หรือลูกคนข้างบ้านก็ไม่รู้ (สมัยช่วงวิวัฒนาการไม่มีการตรวจดีเอ็นเอ) แต่ว่าเมียรู้ชัวร์ว่าเป็นลูกของตัวเองเพราะว่าเป็นคนตั้งท้อง ตามภาษาวิชาการเรียกว่าความไม่แน่นอนของการเป็นพ่อ (Paternal uncertainty) ผู้ชายเลยรู้สึกสั่นๆ หวั่นๆ ถ้าเมียไปเป็นชู้กับคนอื่น เพราะทำไมรู้สึกไม่แน่นอนว่าลูกที่เลี้ยงๆ มาเนี่ยมีจีนของตัวเองอยู่รึเปล่า

เพราะฉะนั้นเราเลยรู้ว่าเมียสามารถบ้องผัวได้เวลาผัวแอบไปเหล่สาวกระโปรงสั้น หรือจีบแม่ค้าหน้าปากซอย ส่วนฝ่ายผัวแทบจะฆ่าเมียทิ้งถ้ารู้ว่าไปปีนรั้วผสมพันธุ์กับคนข้างบ้านมา เย่ละครน้ำเน่าที่เราดูกันมาหลายสิบปี ที่จริงมีรากฐานมาจากจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการนั่นเอง

เฮ่อ จิตวิทยาช่วยอะไรได้ครับคราวนี้ ผมคงได้แต่บอกว่าพูดยังไงก็ได้ว่าไม่มีนอกใจคนอื่นแน่นอนมั่นใจได้ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ห้ามพูดว่า

“เมียจ๋า ถามพี่เต้มาแล้ว รู้นะว่าน้องคิดว่าการผสมพันธุ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีิวิตน้อง น้องคงกลัวว่าจีนของตัวเองที่ส่งต่อให้ลูก จะไม่มีโอกาสสืบต่อๆไป เพราะพี่จะไม่ช่วยเลี้ยงลูก”

อันนั้นผิดประเด็น แล้วอาจจะโดนเมียฉาดเข้าได้ แล้วก็อาจจะโดนถึงผมด้วย เหะ เหะ อย่าลืมว่าคนเราไม่ได้คิดเรื่องการอยู่รอด และการผสมพันธุ์ตลอดเวลา แต่ว่าสมองและจิตใจของเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้เราอยู่รอด และอยากจะผสมพันธุ์ ถึงแม้เราจะไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยก็ตาม

ขอจบจดหมายฉบับนี้แค่นี้ละกันนะครับ หวังว่าคุณจะคืนดีกับเมียได้โดยสวัสดิภาพ สัปดาห์หน้าขอตอบอีกฉบับละกันครับ

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จากสองตูบครองซอย เป็นกองร้อยเขี้ยวแง่ง

คนเจริญมาจากสัตว์ จะบ้าเหรอ เป็นไปได้ไงยังไง พูดไปแล้วก็ฟังดูพิลึกๆ ปลากลายเป็นลิงกลายเป็นคนเนี่ยนะ

เรื่องมันมีอยู่ว่า

สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถสืบพันธุ์ได้ อันนี้รู้กันอยู่แล้ว เช่น ถ้าแถวบ้านมีเจ้าหมาจรจัดตูบๆสองตัวนี้มาเพ่นพ่านอยู่ในซอย



เจ้าหมาสองตัวนี้เกิดปิ๊งกันเองเพราะไม่แถวนั้นไม่ค่อยมีหมาเลย ว่างๆก็เลยผลิตลูกหลานออกมาซะสี่ตัว ทำให้ประชากรหมาในซอยเพิ่มเป็นสี่ตัว ถ้าไม่นับรุ่นพ่อแม่



คิดต่อไปอีกว่า ถ้ารุ่นลูกออกลูกสี่ตัว ต่อหมาหนึ่งคู่



รุ่นหลานออกลูกออกมาอีก



รุ่นเหลนก็ไม่น้อยหน้า



หมาเต็มซอยเลยทีนี้ ถ้าเกิดปล่อยไปเรื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นนะ



ประชากรหมาในซอยเพิ่มขึ้นแบบเอ็กโปเน็นเชียล แปลง่ายๆว่า พุ่งขึ้นแบบไม่เป็นเส้นตรงเวลาเอาตัวเลขมาใส่ในกราฟ แปลอีกทีว่าพุ่งขึ้นแบบเร็วมากๆ สังเกตได้ว่าเพียงแค่ 7 ชั่วอายุหมา จำนวนประชากรหมาในซอยเพิ่มจากสองตัวเป็นร้อยกว่าตัว นี่อาจจะมากกว่าจำนวนคนในซอยซะอีก

เอแต่ว่าในความเป็นจริงแล้วหมาจรจัดในซอยมันก็ไม่เคยจะเยอะขนาดนั้นนิ่หน่า แต่ด้วยเพราะว่าหมาแต่ละตัวต้องกินข้าว ต้องการพลังงาน แต่ว่าพลังงานมีจำกัด ปริมาณเศษข้าว เศษอาหาร ในซอยเพิ่มไม่เร็วเท่ากับจำนวนหมา จะต้องมีหมาบางตัวรอด บางตัวไม่รอด หมาในซอยเลยต้องแข่งขันตบตีกันเพื่อความอยู่รอด ตัวไหนใครกันล่ะที่จะชนะ

จากตอน คัมภีร์จีโนม เรารู้แล้วว่าคัมภีร์จีโนมของลูกมันก็แค่ซีร็อกซ์คัมภีร์ของพ่อมาครึ่งเล่ม ของแม่ครึ่งเล่ม แล้วเอามาแปะรวมกันแต่ว่าเครื่องซีร็อกซ์มันเพี้ยนๆ เวลาซีคัมภีร์มาแล้วมันจะเพี้ยนๆ ไปเล็กน้อย ทำให้หมาที่อยู่ในซอยมีความเล็กใหญ่ สีสัน เขี้ยวฟัน ต่างๆกันไป ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ และความเพี้ยนของเครื่องซีร็อกซ์เพราะฉะนั้นหมาตัวเบิ้มๆ หรือหมาตัวที่วิ่งเร็วๆ ชิงอาหารส่วนใหญ่มาได้ หลักการนี้เรียกว่า การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) ใครเจ๋งกว่าคนนั้นก็จะอยู่รอดต่อไปได้ หมาตัวที่ตัวเปี๊ยกเกินแย่งอาหารมาไม่ได้เลยก็ตายไป

แข่งกันอยู่รอดยังไม่พอ ทฤษฎีนี้ยังบอกไว้อีกว่าสิ่งมีชีวิตต้องแย่งกันผสมพันธุ์อีกด้วย เหตุเกิดที่ว่าตัวเมียมีจำกัด และตัวเมียเป็นตัวที่ต้องรับหน้าที่แบกลูกไว้ในท้องไว้นาน แบกได้ไม่กี่ทีด้วย เลยต้องเลือกตัวผู้ที่ตัวเองคิดว่ามีสายพันธุ์ดี ลูกออกมาจะได้ไม่พิกลพิการจะได้โตไปสืบพันธุ์สืบสายเลือดของตัวเองต่อไป

เพราะฉะนั้นเองเจ้าหมาตัวที่วิ่งไม่เก่ง แต่ก็ชิงอาหารมาได้บ้าง ก็ผอมกร่องเพราะอาหารการกินไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ หน้าเศร้า หางตกไปตามๆกัน มีชีวิตอยู่ไปวันๆ หาใครมาเป็นแฟนก็ไม่ได้ หมาสวยๆ ก็ถูกตัวผู้ตัวเบิ้มแย่งไปหมด เพราะว่าพวกนั้นดูดีกว่า ดูแข็งแรง จีนของเจ้าหมาหน้าเศร้าตัวนี้เลยสูญหายไป ตามศัพท์เทคนิคเรียกว่าจีนของหมาตัวนี้ไม่ฟิท จีนของหมาหล่อๆแข็งแรงๆ นั้นฟิทกว่าเลยถูกสืบต่อไปในประชากรหมามากกว่า หลักการนี้เรียกว่า การคัดเลือกทางเพศ (sexual selection)

ผลก็คือจากสองหมาตูบธรรมดาๆ วิวัฒนาการไปเป็นกองร้อยหมาแรมโบ้เต็มซอยครับ สรุปได้ว่าธรรมชาติกำหนดมาว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะอยู่รอด และสืบพันธุ์มีลูกหลานสืบสายเลือดของตัวเอง หลักสำคัญของวิวัฒนาการก็มีแค่นี้เอง

ด้วยหลักการของการซีร็อกซ์จีโนมแบบเพี้ยนๆ การคัดเลือกโดยธรรมชาติ และการคัดเลือกทางเพศ และด้วยเหตุที่ว่าปัจจัยสี่มีจำกัด ทำให้สิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ ไปอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายล้านปีจนถึงณ บัดนี้ เลยไม่น่าแปลกใจว่าเราวิวิฒนาการมาจากลิงจริงๆ และก็จะวิวัฒนาการต่อๆไป

เอ แต่ว่าในความเป็นจริงคนเราไม่เคยคิดว่าอยากแต่งงานกับหนุ่มคนนี้เพราะว่าจีนดี ลูกจะได้ออกมาแข็งแรง คนเราแต่งงานกันเพราะรักกันนิ่หน่า อื่ม แล้วงี้จะอธิบายยังไง ตอนหน้าครับ แล้วตอนนี้คนกำลังจะวิวัฒนาการไปเป็นอะไร ตอนต่อๆไปครับ

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน


คำตอบก็คือ ไข่ เกิดก่อนแน่นอน ไม่ต้องนั่งเถียงกันเลยว่าไก่ตัวแรกเกิดมาได้ไงถ้าไม่มีไข่ แล้วไข่ฟองแรกเกิดมาได้ไงถ้าไม่มีไก่ จริงๆ คำถามงี้ตอบได้ง่ายมากๆ เลยถ้าเรารู้ว่ามนุษย์คนแรกเกิดมาได้ยังไง

ที่จริงการศึกษาบ้านเราไม่ได้แย่อย่างที่ใครๆ คิดกันนะ คนไทยทั่วไปรู้ดีเชียวล่ะว่ามนุษย์คนแรกเกิดมาได้ยังไง ถ้าไปกินก๋วยเตี๋ยวจากอาแปะปากซอย แล้วลองถามเล่นว่า แปะ แปะ รู้เปล่าว่ามนุษย์ตัวแรกนี่เกิดมาได้ยังไง มาจากไหน แปะ คงตอบเปรี้ยงกลับมาทันทีว่า เอ ถามอะไรโง่ๆ คนก็ต้องกลายพันธุ์มาจากลิงอะสิ ทฤษฎีที่อาแปะพูดถึงมีชื่อเรียกหรูๆ ว่า เรียกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary theory)

แต่ว่าถ้าถามตาสีตาสาแถวเมกา จะได้คำตอบเหมือนที่ผมให้ตอนที่แล้วครับ หลังจากพระเจ้าสร้างโลกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย พระเจ้าก็สร้างมนุษย์คู่แรกขึ้นมา ทฤษฎีนี้เรียกว่า ทฤษฎีสรรค์สร้างนิยม (Creationism theory) หลังจากผมโพสต์เรื่องทฤษฎีสรรค์สร้างนิยมไป แฟนบล็อกจิตก็อีเมล์มาหาผมกันเต็มเลยว่าจะบ้าหรอนี่ เชื่อพวกนี้มาได้ไง รัฐบาลส่งให้ไปเรียนซะเปล่า แต่อย่าทำเป็นเล่นไปครับ ทฤษฎีนี้ฟังดูเพ้อเจ้อๆ แต่ว่าทำให้คนเมกัน เถียงกัน แทบตายทีเดียว เรื่องเป็นอย่างงี้

มีอยู่วันนึงเมื่อประมาณ สี่สิบปีที่แล้ว มีครูคนนึงที่เมกา สอนทฤษฎีวิวัฒนาการในห้องเรียนเพื่อตอบคำถามเดียวกันกับที่เราอยากจะตอบเนี่ยแหละครับว่า มนุษย์เกิดมาได้ยังไง ชีวิตเกิดมาได้ยังไง ครูคนนี้ก็สอนว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ เริ่มจากสัตว์เซลล์เดียวที่อยู่ใต้น้ำ เจริญเป็นปลา เป็นสัตว์ครึ่งบก ครึ่งน้ำ เจริญเป็นสัตว์บก เจริญเป็นสัตว์ปีก และสัตว์ต่างๆ อีกมากมาย รวมถึงมนุษย์ด้วย กระบวนการการวิวัฒนาการนี้ค่อยๆ เลื้อยๆ เกิดอย่างช้าๆ ใช้เวลาเป็นล้านปี เพราะฉะนั้นตามทฤษฎีนี้แล้ว ไข่เกิดก่อนแน่นอนครับ แต่ว่าอาจจะเป็นไข่ปลา หรือไข่ไดโนเสาร์ เพราะกว่าสิ่งมีชีวิตพวกนี้จะวิวัฒนาการมาเป็นไก่ได้ อะโหยนานครับ ไข่ของสัตว์ที่คล้ายๆ ไก่เกิดมาก่อนนานมากครับ

ซึ่งทั้งหมดนี้ก็แปลว่าสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกมาว่าเกิดโลกและชีวิตเกิดมาได้ยังไงนั่นน่ะ ไม่จริงทั้งนั้น ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีพระเจ้าที่ไหนหรอกที่มาเขียนไบเบิล พระเจ้าอะไรจะมาเขียนเรื่องราวมั่วซั่วไม่มีอะไรจริงอย่างงี้ โลกและชีวิตไม่ได้ถูกสร้างภายในหกวัน แต่ว่าใช้เวลาวิวัฒนาการอย่างช้าๆ มาหลายล้านปี

ฟังดูดีๆ ครับ แต่ปรากฎว่าครูคนนี้ถูกฟ้องข้อหา สอนทฤษฎีวิวัฒนาการ อ้าวเฮ้ย ถ้างี้ครูชีวะเมืองไทยไม่ถูกจับหมดเหรอเนี่ย สอนทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นความผิดถึงขนาดขึ้นโรงขึ้นศาลครับ ฝ่ายที่ฟ้องก็คือนักเรียนที่นั่งเรียนอยู่หน้าสลอนอยู่นั่นแหละครับ เพราะรู้สึกว่าศาสนาคริสต์ที่ตัวเองนับถือถูกลบหลู่ เท่านั้นไม่พอครับคนอื่นก็ยังสนับสนุนเพราะคิดว่าการสอนวิวัฒนาการทำให้ความเชื่อในศาสนาคริสต์ซึ่งเป็นแกนหลักของจริยธรรมและความดีงามของสังคมเสื่อมลง เพราะว่าหลักการขัดแย้งกับคัมภีร์ไบเบิลซึ่งถือว่าเป็นพระวาจาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้นการสอนทฤษฎีวิวัฒนาการทำให้สังคมเกิดความแตกแยก เกิดความเสื่อมทราม

เรื่องนี้ก็เถียงกันในศาลกันยุ่งอยู่สักพักครับ และโชคร้ายว่าคุณครูแพ้ความครับ ศาลตัดสินว่าคุณครูรายนี้ลบหลู่ศาสนาซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ... ประเด็นข้อขัดแย้งนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าการสอนทฤษฎีวิวิฒนาการขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ บางรัฐในเมกาเลยออกกฎหมายว่าถ้าสอนวิวิฒนาการก็ต้องสอนสรรค์สร้างนิยมด้วย บางโรงเรียนไม่ยอมรับโอนหน่วยกิตถ้าวิชานั้นมีแต่ทฤษฎีสรรค์สร้างนิยมอย่างเดียว

คนเมกันไม่น้อยทีเดียวที่เคร่งศาสนามากๆ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เคร่งกันมากขนาดว่าศาสนามาขัดแย้งกับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ที่จริงเรียนอยู่เมืองไทยก็ดีไม่น้อยนะเนี่ย

แต่ว่าก็มีคนอีกกลุ่มที่เชิงเคร่งศาสนาครับ แต่คิดว่าต้องมีใครสักคนหรืออำนาจอะไรสักอย่างที่สร้างชีวิต โลก และทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา อาจจะไม่ใช่พระเจ้าก็ได้ อื่ม... น่าสนใจครับ ตอนหน้ามาดูกันว่าทำไมคนในกลุ่มที่มีความรู้ มีเหตุผลด้วยกันเองอาจจะไม่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการสักทีเดียว ตอนหน้าครับ

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

คนเกิดมาได้ยังไง

โตโยต้าประดิษฐ์หุ่นยนต์ แล้วใครประดิษฐ์มนุษย์... คนนั้นต้องเป็นคนฉลาดมากแน่ๆ เลย เพราะว่าหุ่นยนต์สมัยนี้ยังไม่ไปถึงไหนเลยขนาดหลายต่อหลายบริษัท หลายต่อหลายมหาวิทยาลัยพยายามคิดค้นพัฒนาให้มันฉลาดกว่าคนให้ได้

ตัวอย่างง่ายๆ เด็กสามสี่ขวบสามารถพูดจาโต้ตอบกับเราได้แล้ว แต่ว่านักวิทยาการคอมพ์พยายามแล้วพยายามเล่าในการประดิษฐ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถพูดคุยโต้ตอบได้เหมือนกับคน แต่ว่าตอนนี้ยังไปไม่ถึงไหนเลย

แต่ว่าเด็กสามสี่ขวบเนี่ย แค่นั่งๆ นอนๆ เล่นๆอยู่บ้านแค่นี้ก็สามารถ เถียงพ่อแม่ได้อย่างดีแล้ว

ใครล่ะประดิษฐ์คนขึ้นมา ใครเป็นคนเขียนต้นฉบับจีโนมของคน ที่ทำให้คนออกมาเป็นคนฉลาดเรียนภาษาได้ เดินเหินได้ สร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้มากมาย

ที่จริงคำตอบเข้าใจง่ายมากๆ เลย ชาวอเมริกันประมาณเข้าใจมานานแล้ว วันนี้ผมเลยอยากจะเขียนเผยแพร่ให้คนได้รู้กันบ้าง

ไอเดียง่ายๆ ครับ มนุษย์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ฉลาดหลักแหลมมากๆ ใครที่จะประดิษฐ์มนุษย์ขึ้นมาได้ ต้องเป็นผู้ที่รอบรู้ทุกอย่าง และมีพลังอำนาจมหาศาล แล้วคิดสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมา สร้างโลก สร้างชีวิตที่อยู่บนโลก รวมถึงมนุษย์

คำตอบอยู่ในหนังสือที่เรียกว่า พระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกอย่างขึ้นมา โดยใช้เวลาเจ็ดวัน (หกวันถ้าไม่รวมวันหยุด) หลักฐานชัดๆ คือข้างล่างนี้ครับ

1:26 และพระเจ้าตรัสว่า "จงให้พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพวกเรา ตามอย่างพวกเรา และให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และสัตว์ใช้งาน ให้ครอบครองทั่วทั้งแผ่นดินโลก และบรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลก"
1:27 ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายาของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบพระฉายาของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง


แค่นี้เองครับ คำตอบเรื่องจุดกำเนิดของมนุษย์ตอบนั้นง่ายแค่นี้เอง แล้วที่เราเป็นเรามาถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่า

1:28 พระเจ้าได้ทรงอวยพรพวกเขา และพระเจ้าตรัสแก่พวกเขาว่า "จงมีลูกดกและทวีมากขึ้น จนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลก"

พระเจ้าทรงอวยพรให้พวกเราสืบพันธุ์ต่อมาเรื่อยๆ จะได้ไม่สูญพันธุ์ และอยู่ต่อมีอำนาจเหนือโลก เหนือสัตว์ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีก

ยังไม่พอ พระคัมภีร์ไบเบิลยังบอกอีกว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้กำเนิดโลก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และสัตว์นานาชนิด คำตอบสำหรับคำถามที่ว่าโลกเกิดมาได้ยังไงอยู่ในหนังสือเล่มนี้เองครับ คำตอบเหล่านี้ไม่ต้องอาศัยนักวิทยาศาสตร์มาทำการทดลองอะไรให้ยุ่งยากครับ พระคัมภีร์ไบเบิลถอดมาจากพระวาจาของพระเจ้าเองเลย เพราะฉะนั้นย่อมถูกต้องที่สุด เป็นจริงที่สุด

สรุปก็คือมนุษย์ประดิษฐ์หุ่นยนต์ พระเจ้าทรงประดิษฐ์มนุษย์ มนุษย์ซึ่งมีสมองที่ซับซ้อนกว่าหุ่นยนต์ที่ไฮเทคที่สุดในโลก การศึกษาสมองนอกจากจะช่วยอธิบายพฤติกรรมของเราแล้ว ยังทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นอีกด้วยเพราะสมองเป็นสิ่งที่พระเจ้าให้มาเพื่อเรามีอำนาจเหนือแผ่นดิน และสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก ผมเลยรู้สึกดีใจที่เรียนนูโรไซแอนส์ หรือประสาทวิทยาศาสตร์ ได้มีโอกาสศึกษาการทำงานของสมอง ดีใจจังเลย

ตามที่สัญญากันไว้ ตอนหน้าเราจะมาให้คำตอบว่าวิญญาณ อารมณ์ ความรู้สึก มีจริงรึเปล่าครับ

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

คนคือหุ่นยนต์

ใช่แล้วครับ ไม่ได้เล่นมุขอะไรทั้งนั้น คนคือหุ่นยนต์จริงๆ หุ่นยนต์เหมือนกับ (หรือเหนือกว่า)คนเกือบทุกด้านถ้าหุ่นยนต์ได้การพัฒนาอย่างเต็มที่

โตโยต้านอกจากจะผลิตรถยนต์ให้แท็กซี่บ้านเราขับรับส่งคนแล้ว ยังกำลังพัฒนาหุ่นยนต์อีกด้วย ลองเปิดวิดีโอสองอันนี้พร้อมกันดู



เหมือนกันเปี๊ยบเลย ไม่เพี้ยนกันเลยสักนิดเดียว

จะสีไวโอลินได้ก็ต้องมีกล้ามเนื้อที่สามารถขยับได้ พับได้ จับต้องได้ คนกับหุ่นยนต์ไม่ต่างกันมาก





เทียบกันดูแล้วคล้ายกันมากครับ มีส่วนที่ยืดออกได้ เพื่อทำให้แขนยืดออกไปได้ มีอีกส่วนที่ดึงกลับเข้ามาได้ ทำให้แขนพับเข้ามาได้

จากแขนมันจะต่อไปสมองได้ จะต่อกันได้ก็ต้องใช้สายไฟครับ




แขนต่อกับไขสันหลังเพื่อที่จะต่อกับสมองอีกทีนึง ส่วนหุ่นยนต์ใช้สายไฟต่อแขนกับคอมพิวเตอร์ แต่ว่าไขสันหลังดูหยุกหยุยกว่า ถ้าสายไฟขาดปุ๊บ เลยขยับตัวไม่ได้

สมองมันก็แค่เซลล์ประสาทมาต่อกันเยอะๆ คอมพิวเตอร์ก็แค่แผงวงจรที่หน่วยในวงจรมาต่อกัน








พอต่อกันดีๆ ก็ขยับแขน มือ จำเนื้อเพลง แค่นี้ก็สีไวโอลินได้เหมือนกัน แล้ว ที่ต่างกันก็แค่วัสดุที่ใช้ทำคนนี่ออกจะหยุยๆ น้ำๆ เลือดๆ แต่ว่าวัสดุที่ใช้ทำหุ่นยนต์มาจากโลหะต่างๆ

ถ้าเอาแบบแผงวงจรไปให้วิศวะไฟฟ้าเก่งๆ ดู นั่งอ่านสักพักนึงก็เข้าใจแล้วว่าแผงวงจรนั้นใช้ทำอะไร พฤติกรรม จิตใจ อารมณ์ความรู้สึก ความรู้คิด ก็เกิดมาจากแค่สายไฟมาต่อกันดีๆ แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมาก อ้าถ้าเราเข้าใจว่าไอ้พวกสายไฟพวกนี้มันต่อกันยังไงในสมอง ส่วนไหนมีหน้าที่อะไรเท่านี้เราก็จะเข้าใจพฤติกรรม จิตใจ อารมณ์ความรู้สึก ความรู้คิดของมนุษย์ทุกอย่าง แต่ว่านักประสาทวิทยาศาสตร์มานั่งดูสมองมาเป็นร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังเข้าใจไม่หมดครับ เหะ ผมเลยแอบมั่นใจว่าผมไม่น่าจะตกงาน คงมีอะไรให้ศึกษาวิจัยไปเรื่อย แต่ว่ากว่าจะเริ่มทำวิจัยได้ก็ต้องศึกษาพวกความรู้เก่าๆ เป็นตั้งๆ หนาเตอะ อ่านกันเหนื่อยครับ

นักศิลปินบางรายคงเถียงว่า คนสีไวโอลิน กับ หุ่นยนต์สีไวโอลิน จะเหมือนกันได้ไง คนสีด้วยจิตวิญญาณ แต่ว่าหุ่นยนต์ไม่ม่จิตวิญญาณ.... ในแง่นี้นักประสาทวิทยาศาสตร์ไม่ขอเอี่ยวด้วยครับ เพราะว่านักประสาทวิทยาศาสตร์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้วิธีการวิทยาศาสตร์ จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ตรวจจับ วัดผลไม่ได้ ก็เลยไม่ขอเสนอข้อสรุปครับ ว่าง่ายๆ คือ ก็ตอบกลับไปว่าวิญญาณนี้อาจจะมีหรือไม่มีจริงก็ได้... แต่เอ คนทำไมต้องมีวิญญาณล่ะ ถ้าไม่มีประโยชน์เลยจะมีไปทำไมนะ เอหรือว่ามันมีประโยชน์จริงๆ

มนุษย์เป็นคนที่สร้างหุ่นยนต์ขึ้นมา แล้วใครกันล่ะที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา คนเกิดมาได้ยังไง

เฮ่อ คำถามเยอะแยะเต็มไปหมด ตอนต่อๆ ไปจากนี้ เราจะได้รู้กันครับว่ารัฐบาลไทยส่งผมมาเรียนอะไรบ้าง พฤติกรรมของเราด้านไหนบ้างที่เรารู้ชัดแล้วว่าถูกสั่งมาโดยสมอง หรือจิตใจเราได้ยังไง เราเข้าใจสมองถึงขั้นไหนแล้ว วิญญาณมีจริงรึเปล่า คนเกิดมาได้ยังไง และคำถามอื่นอีกที่น่าตื่นเต้นมากมายครับ

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

โรค(กายและ)จิต

ห้ามเดินตากฝน เดี๋ยวเป็นหวัด
ห้ามกินของตกพื้น เดี๋ยวปวดท้อง
ระวังอย่าให้ยุงกัด เดี๋ยวจะเป็นมาลาเรีย

การแพทย์เราพัฒนามากมาย รู้แล้วว่าอะไรเป็นตัวการของโลกอะไร แถมยังวัคซีนฉีดหยอดไว้กันโรค อีกต่างหาก แล้วก็รู้อีกว่าเวลาเป็นหวัดเชื้อโรคมันเข้าไปทำอะไร อุด ขุด เจาะ ช่องอะไรในร่างกาย โรคทางกายพวกนี้เรารักษาได้เกือบหมด เพราะว่าเรามีรู้สาเหตุ อาการ อะไรเรียบร้อย โรคทางจิตล่ะครับ เกิดจากอะไร แบคทีเรีย ไวรัส ผงชูรส หรือว่าเกิดจากการที่เราไปเอาความคิดอะไรประหลาดเข้ามาทำให้ระบบความคิดป่วน

นักจิตวิทยากลุ่มนึงสังเกตว่า พ่อแม่พี่น้องหรือญาติๆของผู้ป่วยจิตเภทมักจะเป็นจิตเภทเหมือนกัน อื่ม แปลว่าโรคจิตเภทอาจจะติดต่อทางกรรมพันธุ์ เพื่อให้ฟังดูน่าเชื่อถือ ดูเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นนักจิตพวกนี้เลย ลองนับดูว่าถ้าเรามีพี่หรือน้อง หรือพ่อแม่ หรือญาติ หรือตาสีตาสาที่ไม่เกี่ยวข้องคณาญาติอะไรกับเราเลยที่เป็นจิตเภท เราจะมีโอกาสเท่าไรที่จะเป็นโรคจิตเภท



แฝดฝาเดียวกัน หรือ ฝาแฝดเหมือนของผู้ป่วยจิตเภท มีคัมภีร์จีโนมที่เหมือนกับผู้ป่วยเป๊ะทุกประการ (ถ้าไม่รู้แปลว่าอะไรให้อ่าน ตอนคัมภีร์ชีวิต) จะมีโอกาสเป็นโรคจิตเภทถึง 48% เห็นชัดๆว่า ถ้ามีจีนเหมือนกันทำให้มีโอกาสเป็นโรคจิตเภทเหมือนกันสูงกว่า ถ้าเทียบกับคนที่ไม่มีจีนเหมือนกับเราเลย เช่น เพื่อนที่โรงเรียนที่เป็นโรคจิตเภท จะมีโอกาสเป็นโรคจิตเภทแค่ 1% แค่นั้นเอง แปลว่าจะต้องมีจีนบางตัวที่เป็นต้นเหตุของโรคจิตเภทนั่นเอง

โรคย้ำคิดย้ำทำก็ติดต่อทางกรรมพันธุ์เหมือนกับโรคจิตเภท แค่นั้นไม่พอมีนักจิตวิทยา กับนักสถิติร่วมมือกันพยายามเสาะหาเลยว่ายีนตัวไหนกันที่ทำให้เกิดโรคย้ำคิดย้ำทำ โดยเอาคลี่คัมภีร์จีโนมออกมาดู เอ ในเมื่อเราอ่านคัมภีร์ไม่ออก คลี่ออกมาดูแล้วจะได้อะไรขึ้นมา อ่า...

ลองคิดว่ามีฝรั่งมาอยู่เมืองไทยกำลังหัดอ่านภาษาไทย สั่งกับข้าวได้ อ่านป้ายออก แต่ว่าไม่ค่อยรู้ชื่อคน หรือคำยากๆ คำอื่น แล้วอยากรู้ว่า อภิสิทธิ์ สะกดยังไง แต่เผอิญพจนานุกรมก็ไม่มี แต่ว่านายคนนี้เป็นนักสถิติ เลยเอาวิธีแก้ปัญหา หรือเรียกว่า อัลกอริธึม (Algorithm) ที่เคยเรียนมามาใช้

ออลกอริธึมง่ายๆ แค่นี้เอง

1. เข้าอินเตอร์เน็ต ไปเอาบทความจากหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวกับเสื้อแดงประท้วงมา
2. ใช้คอมพิวเตอร์ หาคำที่เกือบทุกบทความมีเหมือนกันหมด
3. เอาคำง่ายๆ ที่เรารู้แล้วว่าไม่ใช่อภิสิทธิ์แน่นอนออกไป เช่น เป็น อยู่ เข้า เดิน กรุงเทพ ปิด ถนนฯลฯ
4. เอาคำที่เหลือไปถามคนข้างบ้านว่า คำไหนอ่านว่าอภิสิทธิ์

แค่นี้เอง ง่ายมั้ย (แต่ที่จริงขั้นตอนที่ 2 ไม่ค่อยจะง่ายเท่าไร ต้องเขียนโปรแกรมกันหัวปั่น แล้วก็ใช้คอมพิวเตอร์ที่เร็วมากๆ ถึงจะได้)

คราวนี้เราอยากรู้ว่าในภาษาจีโนม โรคย้ำคิดย้ำทำนี่เขียนยังไง ปรากฎว่าวิธีคล้ายกันมากครับ 4 ขั้นตอนเหมือนกัน

1. วิธีก็คือไปแอบเอาแปรงอันเล็กๆมาขูดเยื้อบุแก้มข้างในปากของผู้ปวยโรคนี้มา



แล้วก็ดึงเอาคัมภีร์จีโนม (หรือที่เคยได้ยินกันว่า ดีเอ็นเอ) ซึ่งหน้าตามันคล้ายๆบันไดม้วนๆ ที่อาจจะเคยเห็นกันในหนัง



มันเหมือนคัมภีร์จริงๆ ตัวหนังสืออังกฤษ A, T, C, G เป็นแค่ตัวย่อของสารเคมีที่เอามาใช้เหมือนเป็นภาษาในคัมภีร์ แต่ว่าภาษานี้มีตัวอักษรแค่สี่ตัว เสร็จแล้วก็ดึงเอาตัวหนังสือในคัมภีร์ ออกมาใส่คอมพิวเตอร์

2. ใช้คอมพิวเตอร์มาตรวจหาว่าส่วนไหนที่คัมภีร์เหมือนกันหมด (เขียนโปรแกรมกันเหนื่อยนิดนึง)
3. พยายามเอาคำง่ายๆ ออกไป เพราะว่านักจีโนมพอจะอ่านออกบ้างแล้ว ก็ลองคัดๆทิ้งไปเท่าที่ได้
4. ส่งข้อมูลไปให้นักชีวะลองไปศึกษาตรวจสอบดูว่าอันไหนน่าจะเป็นจีนที่เกี่ยวข้องกับโรคย้ำคิดย้ำทำมากที่สุด

แค่นี้เอง ผลปรากฎว่าเจอจีนตัวนึงที่ทำให้สารเคมีภายในร่างกายไม่เป็นปกติ ทำให้เกิดโรคย้ำคิดย้ำทำขึ้นมา

ตอนนี้นักชีวะ นักสถิติทั่วโลก กำลังทำงานกันวุ่นเลยครับ เพราะพยายามหาวิธีอ่านเจ้าคัมภีร์นี้อยู่ ไม่ว่าจะลองหาอัลกอริธึมใหม่ๆ (พัฒนาขั้นตอนที่ 2 )หรือว่าพยายามทำการทดลองทางชีวะทำให้แน่ใจว่าจีนตัวนั้นเป็นสาเหตุของโรคชัวร์ๆ (พัฒนาขั้นตอนที่ 4)

แต่ว่าแค่นี้ยังไม่จบง่ายๆ ถ้าคิดดีๆ ถ้าโรคจิตเภทเกิดเพราะจีน หรือกรรมพันธุ์อย่างเดียว ไม่มีสาเหตุอื่น ถ้างั้นถ้าฝาแฝดเหมือนคนนึงเป็นโรคจิตเภท อีกคนนึงก็ต้องมีโอกาสเป็นจิตเภทเหมือนกันเกือบ 100% แต่ว่ากราฟข้างบนบอกแค่ 48% อีก 52% มาจากไหนกันล่ะ

ย้อนกลับมาประเด็นเดิมที่เคยพูดไปแล้วในตอนคัมภีร์ชีวิต ฝาแฝดฝาเดียวกันมักจะได้รับการเลี้ยงดูที่คล้ายกัน สิ่งแวดล้อมคล้ายๆ กัน ไปโรงเรียนเดียวกัน คุยกับพ่อแม่เดียวกัน นักจิตวิทยาเลยตั้งทฤษฎีขึ้นมา เรียกว่า แนวโน้ม และ ตัวการ (diathesis-stress model)

เปรียบเทียบกับเหมือนไข่ไก่ที่ร้าวนิดนึง เคาะนิดเดียวก็แตก แต่ว่าไม่เคาะก็ไม่แตก

ทฤษฎีนี้บอกว่า จีนเป็นตัวกำหนดแนวโน้ม (ไข่ไก่ร้าวมากน้อยแค่ไหน) และสภาพสิ่งแวดล้อมเป็นตัวการ (เคาะไข่แรงมากน้อยแค่ไหน) สรุปก็คือว่าโรคจิตนั้นมีทั้งสาเหตุทางกายภาพ (เช่น จีนทำให้สารเคมีในร่างกายไม่ปกติ) และสาเหตุทางจิต (เช่น ความเครียด) ซึ่งที่จริงไม่ต่างอะไรกับเป็นไข้เลย เพราะไข้ก็มีสาเหตุทางกายภาพ (เช่น เชื้อไวรัสเข้าไปเที่ยวเล่นในร่างกาย) และสาเหตุทางจิต (เช่น อ่านหนังสือหนัก เครียดเกิน เลยไข้จับ)

คนเมกันเข้าใจจุดนี้ดีมากๆ ครับ เลยเข้ารับการรักษาแบบไม่มีการอายกัน เพราะคิดว่ามันเป็นแค่โรค โรคๆนึงที่หลักการไม่ได้ต่างจากมะเร็งหรือมาลาเรียเลย นี่เป็นจุดนึงที่คนไทยควรทราบกันครับ ถ้าเกิดว่าไม่ค่อยสบายทางจิต หรือคิดว่าเข้าข่ายโรคทางจิต ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์ หรือพบนักจิตวิทยา เพราะยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไร ก็ยิ่งต้องทรมานกับโรคมากเข้าไปเท่านั้นครับ

เย่ ขอจบโรคจิตเท่านี้ครับผม

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

คิดใหม่ ทำใหม่

ก่อนเริ่มตอนใหม่วันนี้ผมเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคน ให้ลองสำรวจคีย์บอร์ดว่าสะอาดรึเปล่า เพราะว่าถ้าใช้คีย์บอร์ดที่มันมีสิ่งสกปรกที่สะสมหมะหมมมาตลอดวันอาจจะทำให้ติดเชื้อไม่สบายได้ แล้วก็สำรวจเมาส์ด้วยว่าข้างใต้เช็ดด้วยแอลกอฮอล์รึยัง เพราะว่าการลากเมาส์ไปมาทำให้เชื้อโรคแพร่กระจาย และใต้เมาส์อุณหภูมิจะอุ่นกว่ารอบๆ ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตเร็วขึ้นไปอีก ควรเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดโต๊ะห้ารอบเพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อโรคตายหมด ถ้าเกิดลืมทำพวกนี้ให้รีบไปล้างมืด้วยน้ำร้อนหกรอบ

ถ้าใครบอกว่า อะโหยเต้มาพล่ามอะไรตั้งมากมาย นี่ทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ถ้าใครมีความคิดแบบนี้ ตามตำราเรียกว่าเข้าข่ายโรคย้ำคิดย้ำทำ ครับมาจากภาษาอังกฤษ Obsessive-compulsive disorder หรือชื่อเล่นเรียกสั้นๆ ว่า โอซีดี

ตัวอย่่างเช่น นายคนนี้



เหะ แอบเล่นมุขเดิมครับ นายคนนี้ชื่อ แจ๊ค นิโคลสัน แต่ว่าเค้าไม่ได้เป็นโอซีดีครับ โอซีดีเป็นหนึ่งในโรคทางจิตที่ดังมากในวงการฮอลลีวูด เอาโรคนี้มาทำเป็นหนังซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่นนาย แจ็ค นิโคลสัน จาก As good as it gets



เปิดปิดไฟห้ารอบ ถุงมือหนังใช้ครั้งเดียวทิ้ง สบู่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ล้างมือด้วยน้ำร้อนจัด นี่คืออาการที่เข้าข่ายโรคโอซีดีครับ

ทำไมถึงเรียกว่าย้ำคิด ย้ำทำล่ะ เป็นเพราะว่าชอบทำอะไรซ้ำๆซากๆ พูดอะไรซ้ำไปซ้ำมาหรือไง อุ้ยงี้ที่แม่ชอบบ่น กร่นด่า เราซ้ำๆซากๆ แสดงว่าแม่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ โอซีดีรึเปล่า

ถ้าขึ้นต้นด้วยคำถามแบบนี้ คำตอบคือไม่ครับ​โรคนี้มีรายละเอียดที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป

โรคชื่อว่าย้ำคิด ย้ำทำ แต่ที่เรามองเห็นได้คืออาการย้ำทำ เพราะว่าเห็นจะๆ ว่าทำอะไรซ้ำๆ อย่างเช่นในหนังตัวอย่างข้างบน แต่ที่บอกว่าย้ำคิด คือย้ำคิดอะไร

เคยเป็นมั้ยครับที่ออกจากบ้านจะไปทำงาน หรือไปมหาลัย เดินออกมาถึงหน้าปากซอย แล้วนึกขึ้นได้ อุ้ย เฮ้ย ลืมล็อคบ้านรึเปล่าเนี่ย เฮ้ยหรือลืมปิดแก็สรึเปล่า เพราะแอบต้มกาแฟก่อนจากบ้านตอนเช้า ไม่สบายใจๆๆๆ ต้องเดินกลับเข้าไปในซอยเช็คอีกที โอเคล็อคบ้าน ปิดแก็สเรียบร้อย ไปโรงเรียนได้แล้ว

ฟังดูปกติดีครับ คนที่อาการของโรคย้ำคิดย้ำทำ จะมีรู้สึกความไม่กังวลไม่สบายใจมากเกินปกติ ทำให้พอเดินออกจากซอยมาถึงปากซอยก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เลยต้องเดินกลับเข้าบ้านไปเช็คใหม่อีกรอบนึงแล้วต้องทำแบบนี้่หลายๆครั้งถึงจะสบายใจ

สรุปคืออาการย้ำคิด คือ ย้ำคิดถึงเรื่องอันตรายที่ก่อให้เกิดความกังวลใจไม่สบายใจ (เช่น กังวลว่าอาจจะลืมล็อคบ้าน) พอมีเรื่องกังวลต้องทำอะไรให้หายกังวล (เช่นย้อนกลับไปบ้านดูว่าล็อคบ้านรึยัง)

พออาการแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ บ่อยๆ เข้าทุกวัน ก็อาจจะเริ่มจะหาวิธีืทำให้หายกังวลได้ดีขึ้น ก็เริ่มสร้างพิธีกรรมเป็นของตัวเอง เช่น ล็อคประตูสักสิบครั้งก่อนออกจากบ้าน แล้วจะรู้สึกสบายใจหายกังวล ซึ่งอาการแบบนี้่ก็ฟังดูทะแม่งๆ นะครับ แต่ลองนึกดูว่าถ้ามีเพื่อนนอนอยู่โรงพยาบาลจะผ่าตัด ไม่รู้จะเป็นหรือตาย เราก็จะรู้สึกกังวล แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงทำให้รู้สึกหายกังวล ก็เริ่มสร้างพิธีกรรมเหมือนกันครับ เช่น ไปบนศาลเจ้าพ่อสิบแปดดัชนี สาธุ ขอให้เพื่อนลูกช้างไม่เป็นอะไรทีเถอะ เจ้าค่า เพี่ยง โอเค หายกังวลขึ้นมาหน่อยนึง หรืออาจจะเริ่มซื้อดอกไม้เก้าดอกไปถวายทุกวัน อะไรก็ว่าไปครับ ผมไม่ขอออกความเห็นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยได้จริงรึเปล่า แต่สิ่งที่ช่วยได้จริงๆ คือ เราสบายใจขึ้นนั่นเองครับ

เอ แต่ว่าถ้าคิดว่าการล็อคบ้านสิบครั้งเป็นพิธีทำความเคารพเจ้าที่เจ้าทางเพื่อให้ท่านช่วยปกป้องบ้านล่ะ ถ้างี้ถือว่าเป็นอาการย้ำคิดย้ำทำอีกรึเปล่า

อื่ม... อันนี้ต้องย้อนกลับไปตอนแรกเลยที่ผมพูดถึงว่าพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ต่างๆ ที่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าทำไมต้องดอกไม้เก้าดอก เจ็ดดอกโอเครึเปล่า ถ้าดอกเล็กถือว่าเป็นครึงดอกรึเปล่า สิ่งพวกนี้พูดยากครับว่าอันไหนเป็นโรค อันไหนไม่เป็น

แต่ว่าเป็นโรคแน่ๆครับ ถ้าเกิดว่าต้องเช็คบ้านสองชั่วโมง อาบน้ำสองชั่วโมง เช็ครถอีกสองชั่วโมงก่อนออกจากบ้าน ทุกๆวัน ถ้้าไม่ทำจะไม่สบายใจจนออกจากบ้านไม่ได้ อันนี้เป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่ช่วยวินิจฉัยว่าเป็นโรคหรือไม่ เพราะว่าถ้าความไม่สบายใจมันแรงขนาดที่ต้องเตรียมตัวเป็นชั่วโมงก่อนออกจากบ้านนี่ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ถ้าเกิดถึงขั้นนี้ต้องรับการรักษาครับ

รักษายังไงล่ะครับ การรักษาที่เวิร์คสุดคือคุยกับจิตแพทย์เพื่อการบำบัดจิตและพฤติกรรม เพราะว่าโรคนี้เกิดจากความคิดที่หมกมุ่นกับสิ่งมืด กับสิ่งอันตรายมากจนเกินไป ว่าง่ายๆ คือ ผู้ป่วยจะต้องคิดใหม่ทำใหม่นั่นเอง ผมจะกลับมาพูดเรื่องการบำบัดอีกทีเพราะว่าการบำบัดแบบคิดใหม่ทำใหม่นั้นส่วนนึงอาศัยทฤษฎีการเรียนรู้ที่ผมจะพูดถึงตอนหลัง คอยติดตามชมกันตอนต่อไป

นอกจากนั้นผู้ป่วยอาจจะเริ่มทานยาที่มีผลทางจิต หรือว่าป่วยหนักจริงๆ หรือมีอาการกังวลที่ทำให้กินยาไม่ได้เป็นเวลานานๆ การรักษาอย่างอื่นไม่ได้ผลก็อาจจะต้องใช้วิธีช็อตไฟฟ้า ...ไม่สนุกครับ แต่ว่าเวิร์คกับผู้ป่วยบางราย

อ่านกันมาแล้วว่าเป็นโรคจิตเภทนี่ไม่สนุกเลย โรคย้ำคิดย้ำทำคนอื่นดูแล้วฮา แต่ว่าเป็นแล้วก็ทรมานไม่สนุกเหมือนกัน ร่างกายทรมานเราได้ยังไง จิตใจก็ทรมานเราได้ไม่แพ้กันครับ

โรคจิตพวกนี้เกิดจากอะไรกันล่ะ คงไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียเหมือนโรคทางกายแน่นอน ตอนหน้าดูกันครับว่า​โรคจิตเกิดจากอะไร

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

จิตเภท สกิโซเฟรเนีย

คุยแต่เรื่องจิตวิทยามานานวันนี้ขออาสาพาทัวร์มหาวิทยาลัยที่ผมอยู่สักนิดนึง แต่ไม่ต้องห่วงยังไงก็เกี่ยวกับจิตวิทยาอยู่ดี

มหาวิทยาลัยปรินซ์ตันเป็นหนึ่งในมหาลัยไม้เลื้อยหรูหรา ไอวี่ลีค (Ivy League) อยู่รัฐนิวเจอร์ซี่ เพราะฉะนั้นถ้าบินจากกรุงเทพมานิวยอร์ค



ยังไม่ถึงครับๆ ต้องนั่งรถไฟออกจากแสงสีเมืองนิวยอร์ค ต่อไปอีกสองชั่วโมง ฝ่าป่าเขาและท้องทุ่ง พนาไพรจนมาถึงภูบาลปรินซ์ตัน



ที่ซุกหัวนอนของผมเรียกว่า แกรดจูเอ็ด คอลเลจ (Graduate College) หรือเรียกเล่นๆ ว่า แกรดคอลเลจ หน้าตาเหมือนปราสาทเก่าๆ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเด็กปริญญาโท และเอกที่มหาลัยปรินซ์ตัน ห้องผมอยู่ปลายลูกศรนี้ สามารถมาเยี่ยมเยียนกันได้



ปราสาทแกรดจูเอ็ด คอลเลจเคยเป็นที่อยู่นายคนนี้



รัสเซิล โครว เคยเป็นเด็กปรินซ์ตันตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่จริงนายรัสเซิล โครวไม่เคยอยู่ที่นี่แต่ว่า ศาสตราจารย์จอห์น แนช เคยอยู่ที่นี่ตอนทำปริญญาเอก นายรัสเซิล โครวเล่นเป็นจอห์น แนช ในหนังเรื่อง บิวตีฟูล ไมนด์ ผมพยายามถามคนแถวนี้เหมือนกันว่าอาจารย์แนชอยู่ห้องไหนในแกรดคอลเลจ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ ถ้าดูในหนังน่าจำฉากที่โยนโต๊ะทะลุหน้าต่างกันได้ ที่นี่ล่ะ

อาจารย์แนช เป็นเก่งเลขพระเจ้ามาก ปัจจุบันยังเป็นอาจารย์อยู่ปรินซ์ตัน มีออฟฟิศอยู่ที่ตึกเลขที่ชื่อว่าไฟน์ฮอลล์ (Fine Hall) หน้าตาแบบนี้



เป็นแท่งๆ สูงๆ แบบนี้แหละ มีตำนานเล่ากันว่า ตอนดึกดื่นค่ำคืน ถ้ามาเดินเล่นตึกเลขดึกๆ อาจจะได้เจอเจ้าที่ไฟน์ฮอลล์ (Phantom of Fine Hall) กำลังขยุกขยุยสมการอยู่บนกระดาน เจ้าที่นั่นก็คืออาจารย์แนชนั่นเอง ผมเคยไปส่งการบ้านทีนึงแต่ไม่เจอเจ้าที่...

นอกจากจะดังในหมู่นักเรียนแล้ว อาจารย์แนชมีชื่อเสียงกระฉ่อนเพราะว่าได้รางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ รางวัลโนเบลนี่คนแย่งกันเพราะว่าใครได้รางวัลนี้จะได้เกียรติยศ ชื่อเสียงมากมาย เป็นรางวัลที่แจกให้กับคนที่ฉลาด และความฉลาดแผ่กระจายไปสู่มนุษย์โลกมากมาย

แล้วตอนนี้คงทั้งโลกรู้จักอาจารย์แนชมากขึ้นไปอีก เพราะว่าประวัติอาจารย์แกถูกเอามาทำเป็นหนังเรื่อง บิวตีฟูลไมนด์ แต่ว่าคนได้รางวัลโนเบลมีเยอะแยะทำถึงเอาอาจารย์แนชมาทำเป็นหนัง อาจจะเป็นเพราะว่าอาจารย์แนชเป็น “ศาสตราจารย์สติเฟื่อง” เอามาทำเป็นหนังแล้วคนชอบ เพราะว่าคนมักจะคิดว่าคงที่ฉลาดมากๆ จะต้องเป็นบ้า หรือโรคจิต ถึงแม้ไม่มีหลักฐานอะไรแน่นอนเลยว่าโรคจิตช่วยทำให้เก่งเลขหรือว่า สมองส่วนที่ทำให้เก่งเลขเป็นส่วนเดียวกับส่วนที่ทำให้เกิดโรคจิต หรือว่าโรคจิตนำไปสู่บุคลิกภาพที่ทำให้เก่งเลข ไม่มีหลักฐานอะไรเลย

อาจารย์แนชเรียนจบปริญญาเอกเรียบร้อย และมีภรรยามีลูกไปตามประสาคนปกติ จนมีกระทั่งวันหนึ่ง อาจารย์แนชมีอาการคล้ายๆ กับอาการของโรคจิตเภท หรือสกิโซเฟรเนีย (Schizophrenia) ที่เราเห็นในดีเอสเอ็มจากตอนที่แล้ว


อาจารย์แนชเริ่มคิดว่าเบอร์โทรศัพท์ บทความในหนังสือพิมพ์ หมาเดินเล่นอยู่ข้างถนน เน็คไทสีแดง ฯลฯ แฝงรหัสลับจากสิ่งมีชีวิตจากแกแลคซีอื่นที่มนุษย์คนอื่นอ่านไม่ออก มีเค้าคนเดียวที่สามารถถอดรหัสได้ ถ้าถอดรหัสได้ เราจะเข้าใจทฤษฎีที่จะเปลี่ยนโลกไปคนละใบ

ยังไม่พออาจารย์บางทีจะเห็นภาพหลอน หรือเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน ทำเกิดอาการหวาดระแวงว่าคนอื่นจะมาทำร้าย ภรรยาและมหาลัยเห็นว่าอาจารย์แนชเริ่มท่าจะไม่ดีเลยถูกส่งเข้าโรงพยาบาลรับการรักษา

ความคิดเริ่มไม่เป็นระบบระเบียบ ไม่รู้อะไรผิด อะไรถูก อะไรก่อให้เกิดอะไร ทำให้โลกรอบตัวของผู้ป่วยไม่ค่อยเมคเซนส์ หรือเริ่มเห็นภาพหลอน อาการพวกนี้ไม่ได้เกิดกับผู้ป่วยจิตเภททุกคน แต่ละคนจะมีลักษณะอาการที่ต่างกันไป ทำให้โรคนี้วินิจฉัยลำบากเพราะว่ามีโรคที่ประเภทย่อยๆ อยู่หลายประเภท

แต่ว่าไม่ว่าเป็นประเภทไหนก็ตามที อาการของโรคไม่ได้ทำให้เก่งเลข เก่งวิทย์อะไรขึ้นมาเลย งานของอาจารย์แนชต้องหยุดชะงักไปนานทีเดียวหลังจากเริ่มมีอาการจิตเภท นักจิตวิทยาบางคนเรียกโรคนี้ว่า มะเร็งจิต เหมือนว่ามีก้อนเนื้อเกาะอยู่ที่จิตทำให้ความคิดความอ่านไม่เป็นปกติ แต่ว่าไม่มีก้อนเนื้อที่เราผ่าออก หรือยิงรังสีทำลายได้ ไม่มีเชื้อไวรัสที่ต้องฆ่าทิ้งหรืออะไรอย่างนั้น การรักษาต้องอาศัยยาที่ส่งผลไปทั่วร่างกาย เช่นอาจจะไปปรับระดับสารเคมีในตัวภายในร่างกาย แต่ว่าผลข้างเคียงเยอะอยู่เหมือนกัน ปากแห้ง คลื่นไส้ อยากอ้วก มึนหัว และอีกมาก ทำให้ไม่ค่อยอยากจะกินยา แต่ถ้าไม่กินยาก็ไม่หาย ผู้ป่วยทางจิตโรคอื่นตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กัน ไม่กินยาก็ไม่หายอาการก็โผล่ขึ้นมาเรื่อย แต่ถ้ากินยาอาการขยะแขยงอย่างอื่นก็โผล่ขึ้นมา ไม่สนุกเลย

เพราะฉะนั้นยาที่จิตแพทย์สั่งยังไม่พอ นักจิตวิทยาบางทีก็ต้องเข้ามาช่วยด้วย ช่วยให้คำปรึกษา และให้กำลังใจกับผู้ป่วยสู้กับโรค

ในบางราย บางทียาก็รักษาไม่ได้ หรือผู้ป่วยไม่ยอมกินยา กินยาไม่ได้ มีอีกวิธีนึงที่บางทีเอามาใช้รักษาแต่ว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไร

จำสมัยเด็กๆได้มั้ยครับ เวลาเปิดทีวีแล้วภาพไม่ยอมขึ้นมา มีแต่เสียง จะดูละครก็ไม่ได้ ตอนจบแล้วซะด้วย ทำไงดีล่ะ อ้าลองบ้องข้างทีวีสักป้าบ สองป้าบ สามป้าบ ภาพกลับมาแล้ว ดูละครได้สบายใจ

คล้ายๆกันครับ เป็นโรคจิตทำยังไงก็ไม่หาย ลองบ้องสักที สองที แต่ว่าไม่ได้บ้องด้วยฝ่ามือครับ บ้องด้วยไฟฟ้า วิธีก็คือฉีดยาชา แล้วเอาใช้ไฟฟ้าช็อตทำให้เกิดอาการชักกระตุก ต่อให้มียาชาก็เถอะครับ ไม่น่าสนุก อาจารย์แนชก็ถูกรักษาด้วยวิธีนี้เช่นกัน

อาการพวกนี้ไม่เหมือนเป็นไข้ เวลาเป็นไข้จะรู้ปวดหัว ตัวร้อนตลอดเวลา ถ้าหายปวดหัว หายตัวร้อนก็พอจะเดาได้ว่าหายไข้แล้ว แต่ว่าอาการของโรคจิตเภทไม่ได้เกิดตลอดเวลา แล้วก็ไม่หายขาดง่ายๆซะด้วย ปัจจุบันนี้อาจารย์แนชยังเดินเล่นอยู่แถวปรินซ์ตัน เดินไปยืมหนังสือ สอนหนังสือบ้างบางครั้งบางคราว แต่ว่าแกบ่นกับบางคนว่ารู้สึกว่าโลกนี้เปลี่ยนไป ยังรู้สึกว่าทุกอย่างบนโลกนี้มีความหมายในตัวเองทั้งหมด ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ อาจารย์แนชยังต้องพยายามแยกว่าอะไรว่าอันไหนเรื่องจริง อันไหนไม่จริง อันนี้เป็นอุปสรรคใหญ่เพราะว่าการที่จะคิดทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ใหม่ๆ จะต้องอาศัยการคิดนอกกรอบ คิดแบบที่คนอื่นไม่คิดกัน อาจารย์แกก็ยอมรับว่าตอนนี้แกก็แก่แล้วสมองไม่แล่นเหมือนตอนหนุ่มๆ บวกกับความจำเริ่มไม่ค่อยดีซึ่งแกโทษการรักษาแบบช็อตไฟฟ้า แต่ตอนนี้แกก็ยังทำวิจัยค้นคว้าต่อไป และดำเนินชีวิตตามปกติ

จะเป็นนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ จิตรกร หรือช่างซ่อมรถ เป็นโรคจิตไม่สนุกแน่นอนครับ

หมายเหตุ รูปไม่ได้ถ่ายเอง เอามาจากเว็บไซต์คนอื่น

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วิปริต โรคจิต ไซโค ตอนสอง

ทุกตำราต้องเริ่มจากว่านิยามก่อนว่าความผิดปกติทางจิตนี่แปลว่าอะไร ตอนที่แล้วเราพูดถึงไปแล้วว่าความผิดแปลกไปจากวัฒนธรรมที่เรายึดถืออาจเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความผิดปกติทางจิตได้ ว่าง่ายๆว่าอะไรที่คนทั่วๆไปส่วนใหญ่มองแล้วเหวอ เฮ้ยเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไปได้ไง แต่เท่านั้นคงไม่พอ เรากำลังพูดถึงโรคทางจิต เพราะฉะนั้นนักจิตวิทยาเลยจำกัดความของโรคผิดปกติทางจิตให้รวมแค่อาการทางจิตที่ก่อทำให้คนๆนั้นรู้สึกไม่สบายใจ ไม่สบายกาย ทำให้ดำเนินชีวิตตามปกติไม่ได้ หรือว่าถึงขนาดนี่ทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้ พิการ เจ็บปวด หรือตายได้ คำจำกัดความนี้อยู่ในประโยคแรกในตำราสุดคลาสสิคในวงการนี้ ตำรานั้นเรียกว่า DSM = Diagnostic and Statistical Manual

ตำรานี้มีอยู่ห้าหมวดใหญ่ด้วยกัน

1. โรคทางคลีนิค

2. โรคทางบุคลิกภาพ

3. สภาวะทางร่างกาย

4. ปัจจัยทางจิตสังคม และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่ร่วมก่อให้เกิดโรค

5. การประเมินสภาวะโดยรวม

แต่ละหมวดก็มีบอกอาการของโรคและวิธีการวินิจฉัยโรคแต่ละโรค เพราะฉะนั้นวันนี้ขอให้ทุกคนหาซื้อ DSM มาติดบ้านไว้สักเล่มนึง เผื่อคนที่บ้านเข้าข่ายโรคจิตจะได้เปิดหาวิธีการวินิจฉัยได้

อะแฮ่ม มาลองดูสักโรคนึงมั่วๆ จากหมวดแรกเลยละกัน ลองดูโรคจิตเภท (Schizophrenia)

“ลักษณะอาการจำเพาะ: มีอาการต่อไปนี้อย่างน้อยสองข้อขึ้นไป โดยมีแต่ละอาการอยู่นานพอสมควรในช่วงเวลา 1 เดือน (หรือน้อยกว่านี้ หากรักษาได้ผล)
(A) อาการหลงผิด
(B) อาการประสาทหลอน
(C) disorganized speech (การพูดจาสับสน เช่น มี derailment หรือ incoherence อยู่บ่อย ๆ)
(D) มีพฤติกรรมแบบ disorganized หรือ catatonic อย่างเห็นได้ชัด
(E) อาการด้านลบ (negative symptoms) ได้แก่ อารมณ์เรียบเฉย (affective flattening) พูดน้อยหรือไม่พูด (alogia) หรือขาดความกระตือรือร้น (avolition)
หมายเหตุ: เพียงอาการเดียวในเกณฑ์ข้อ A ก็เพียงพอ หากอาการหลงผิดเป็นแบบพิลึกพิลั่น (bizarre) หรือ อาการประสาทหลอนเป็นเสียงพูดวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมหรือความคิดของผู้ป่วย หรือมีเสียงตั้งแต่สองเสียงพูดจาโต้ตอบกัน”


อื่มช่วงนี้พูดจาสับสนเหมือนกันนะเนี่ย บางทีก็รู้สึกขาดความกระตือรือร้นเหมือนกัน เกือบเดือนแล้วเนี่ย โอเคเดี๋ยวจะไปซื้อยาหน้าปากซอยแก้โรคจิตเภท เฮ่อโชคดีนะเนี่ย...

อ้าว แล้วงี้จะมีพวกนักจิตวิทยาคลินิค กับจิตแพทย์ไว้ทำหยังล่ะเนี่ย ถ้าอยู่บ้านเปิดตำราเอาก็ได้ ที่จริงแล้วมีอะไรละเอียดอ่อนนอกเหนือตำรานี้อีกทีเดียว ตำรา DSM นี้ยังเป็นที่ถกเถียงในบรรดานักจิตวิทยากันเองอยู่เลย

ตัวอย่างง่ายๆ อยากโรคจิตเภท ตำราบอกว่าอาการจะต้องอยู่นานพอสมควรในช่วงเวลาหนึ่งเดือน นานพอสมควรแปลว่าอะไร วันละสามนาที ทั้งสามอาทิตย์ที่แล้วทั้งอาทิตย์แต่ว่าอาทิตย์ต่อมาไม่มีอาการ หรือว่าอะไรกันแน่ การพูดจาสับสนแปลว่าอะไร พูดน้อยแปลว่าอะไร น้อยแค่ไหน

พวกรายละเอียดเล็กน้อยๆ พวกนี้สำคัญต่อการวินิจฉัยอยู่ทีเดียว แต่ว่าตำราไม่ได้พูดถึงรายละเอียดที่มันเจาะจงลงไปกว่านี้ เพราะฉะนั้นต้องอาศัยประสบการณ์เอา แต่ก็เพราะไอ้จุดนี้นี่เอง นักจิตวิทยาเลยเถียงกันว่า ตกลง DSM นี่มันมีประโยชน์จริงรึเปล่า เชื่อถือได้แค่ไหน ให้จิตแพทย์ร้อยคนจะมาลองวินิจฉัยผู้ป่วยคนเดียวกัน จะวินิจฉัยตรงกันรึเปล่า

อีกอย่างนึง อย่างหมอที่จบมาจากเมืองนอก พอมาทำงานเมืองไทยต้องเรียนพวกโรคเมืองร้อนก่อนไปรักษาคน แต่ว่าตำรา DSM ใช้เล่มเดียวกันทั่วโลกครับผม ตอนที่แล้วบอกไปแล้วว่าบางทีจะพูดว่าใครบ้า ใครไม่บ้าบางทีมันละเอียดอ่อนกว่าที่คิด เพราะว่าไม่มีเส้นแบ่งความบ้าไม่บ้าแน่ชัด แถมยังมีบ้ามากบ้าน้อยอีก แล้วก็กรอบวัฒนธรรมก็มีผลต่อพฤติกรรมและอาการคนอีก ถ้าเอาตำรานี้มาใช้กับคนทั่วโลกย่อมเกิดปัญหาแน่นอน เพราะฉะนั้นเลยต้องให้คนที่ชำนาญจริงๆมาใช้ตำรานี้ อื่ม... ถ้าใครไปเผลอซื้อตำรามาแล้ว ขออภัยด้วย คงต้องแอบเอาไปคืนร้านหนังสือแล้ว

กว่าจะมาเป็นนักจิตวิทยาคลินิค หรือจิตแพทย์ได้ต้องเข้าโรงเรียนศึกษาฝึกฝนกันนานอยู่ ผมเองก็ไม่ใช่จิตแพทย์ ตอนต่อผมจะพูดถึงโรคจิตสักสองโรคพอให้รู้อะไรรวมๆ เฉยๆ ถ้าเกิดผมพูดมั่วพูดผิด ช่วยบอกกันด้วยเน่อ เริ่มโรคแรกตอนหน้าครับผม

ป.ล. ว่างๆ ถ้าอยากลองอ่าน DSM สามารถเข้าไปดูได้ที่
http://www.ramamental.com/dsm/

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

วิปริต โรคจิต ไซโค ตอนหนึ่ง

ถ้าชอบจับแมวแถวบ้านมาเชือดเอาแช่ช่องฟรีซที่บ้านแล้วถ่ายรูปเก็บไว้ ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าชอบขโมยกางเกงในชาวบ้านมาดม ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าชอบเอาเกงเกงในตัวเองที่ใส่แล้วมาดมล่ะ ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าชอบพูดพึมพัมกับตัวเองคนเดียว ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าไม่สวดชิณบัญชรสิบห้าจบจะนอนไม่หลับ ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าไม่ใส่หมวกจะไม่ยอมออกนอกบ้าน ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าชอบดูหนังโป๊ทุกวันล่ะ ถือว่าโรคจิตมั้ย

นอกจากคนเราจะมีบุคลิกภาพที่ต่างกันแล้ว คนเรายังมีความโรคจิตต่างกันไปอีกด้วย แต่ว่าอะไรกันล่ะครับที่เป็นตัวขีดว่าอะไรถือว่าโรคจิต อะไรไม่ใช่โรคจิต หรือว่าความโรคจิตไม่ใช่ขาวกับดำ แต่ว่ามีการแยกระดับความโรคจิตจากขาวถึงเทาอ่อนถึงเทาน้อยๆถึงเทาเฉยๆถึงเทาแก่ถึงดำ ลองมาวิเคราะห์กันดูดีกว่า

นายเดฟ (นามสมมติ)

จมูกโต ตาโต สูงยาว เข่าดี หน้าตาพอไปวัดไปวาตอนสายๆ บ่ายๆ ได้ แต่ว่านายเดฟมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้ นายเดฟไม่ยอมกินอาหารที่มาจากสัตว์ชนิดเดียวกัน เช่น เบอร์เกอร์เนื้อโปะชีส เพราะว่าชีสกับเนื้อมาจากวัวเหมือนกัน นายเดฟไม่กินอาหารทะเลที่มีเปลือกแข็ง เช่นปู หรือกุ้ง ก่อนจากบ้านนายเดฟจะต้องมีอะไรสักอย่างคลุมหัว ไม่งั้นไม่ยอมออกจากบ้าน นายเดฟบางวันจะอยุ่ในบ้านอย่างเดียว ไม่ยอมทำงาน ไม่ติดต่อธุระใดๆ ทั้งนั้น จะออกไปเซเว่นซื้อข้าวกินก็ไม่ได้ จะอยู่บ้านสั่งอาหารเข้ามาก็ไม่ได้ แต่พอตะวันตกดินปุ๊บจะดำเนินชีวิตตามปกติได้ นอกเหนือจากนี้นายเดฟก็เป็นกระทาชายทั่วไปตามท้องตลาด

อื้อ นายเดฟโรคจิตแน่ๆ เลย ทำไมต้องมีข้อยกเว้นประหลาดพวกนี้ด้วย มีไม่ยอมออกนอกบ้านบางวัน เพราะว่าแอบนอนร้องไห้อยู่คนเดียวเลยหาข้ออ้างไม่ยอมออกมาพบปะผู้คนรึเปล่า โรคจิตชัวร์ พาไปหานักจิตวิทยาด่วน

คำตอบคือไม่ครับนายเดฟจัดว่าปกติ พวกข้อยกเว้นต่างๆ นานาที่ว่ามาทั้งหมดคือ เป็นข้อยกเว้นของศาสนาจูดา ออโธดอกซ์ คนคงเข้าใจกันถ้าบอกว่าพวกนี้เป็นศาสนา อันนี้เป็นปกติทั่วไป คนเป็นล้านยอมรับนับถือทำตามว่ากัน ศาสนาต่างกันอันนี้เข้าใจ เป็นแค่ความเชื่อต่างคนต่างเชื่อ ลองดูอีกรายนึง

นายอูรูกูด (นามสมมติ)

นายอูรูกูด เป็นคนชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ บนเกาะห่างจากชายฝั่งหลายชั่วโมงบิน นายอูรูกูดออกจากบ้านจับปลา เก็บผักผลไม้จากป่ามาแบ่งกันกินกับเพื่อนบ้านทุกวัน ชีวิตเรียบง่ายปกติสุขดี แต่ แต่ แต่ ว่าบางทีนายอูรูกูดจะพูดพัมเหมือนพูดคุยสนทนากับใครสักคน แต่พอมองไปก็ไม่มีใคร บางทีพอคุยเสร็จก็เดินไปหาล่ากวางมาสามตัว จับปลามาสองตัว และนกหนึ่งตัวเอามาเผาเป็นจุล บางทีนายอูรูกูดก็จะนั่งเฉยๆไม่กระดุกกระดิกนายแม้แต่นิดเดียวเป็นชั่วโมง เสร็จแล้วก็หายกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ทีมวิจัยบุกสำรวจคลุกคลีกับคนในหมู่บ้านนี้ คนในหมู่บ้านบอกว่านายอูรูกูดยกย่องเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เพราะว่าสามารถมองเห็นและพูดคุยกับเทพเจ้าได้ ทุกเดือนชาวบ้านจะส่งกวางสามตัว ปลาสองตัว นกหนึ่งตัวไปให้นายอูรูกูดเผา เพราะว่าบอกว่าเป็นการบูชาเทพเจ้าได้ แต่บางทีนายอูรูกูดหัวหน้าหมู่บ้านจะนิ่งไปไม่กระดุกกระดิกเพราะว่าถอดจิตไปอยู่อีกมิตินึง แต่ทีมสำรวจตรวจเจอว่าอาการของนายอูรูกูดเข้าข่ายผู้ป่วย Schizophrenia ตามตำราโรคทางจิต หลายสิบปีต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านคนถัดไปสามารถพูดคุยกับเทพเจ้าได้เหมือนกัน ผู้คนยอมรับนับถือกันต่อไป

พวกพิธีของเผ่าของนายอูรูกูดก็ไม่ต่างอะไรกับศาสนาที่เราๆ หลายคนยอมรับนับถือกัน บางศาสนามีนักทำพิธีที่รู้วิธีติดต่อกับพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้ เราไม่ถือว่าบ้า นายอูรูกูดเราถือว่าบ้า ก่อนที่เราจะพูดถึงอาการทางจิต หรือโรคทางจิต สิ่งที่สำคัญที่ต้องเอามาเป็นบริบทก็คือวัฒนธรรมของคน ก็เพราะวัฒนธรรมนี่เองทำให้เราต้องลองคิดอีกทีว่า โรคทางจิตคืออะไร อะไรบ้า อะไรไม่บ้า

ตอนหน้าเราเริ่มพูดถึงโรคทางจิตต่างๆ ตามตำรา เรื่องพวกนี้แอบเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เลยอยากหยิบยกเรื่องกรอบทางวัฒนธรรมขึ้นก่อนจะพูดอะไรต่อไป เพราะฉะนั้นอย่ากลับบ้านไปแล้วบอกน้องแถวบ้านว่า นักบวช นักเข้าทรงพวกนั้นโรคจิตทั้งนั้น เรื่องนี้ลึกลับซับซ้อนกว่านั้นเยอะ ตอนหน้าแอบมาพลิกดูตำราของนักจิตวิทยาคลินิคกันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ชีวิต ตอนสอง

ตอนที่แล้วเราบอกว่าฝาแฝดมีคัมภีร์จีโนมที่เหมือนกันเกือบเปี๊ยบ แต่ที่ไม่เหมือนกันทุกประการก็เพราะว่าเครื่องซีร็อกซ์คัมภีร์มันเพี้ยนๆ บอกว่าให้ซีมาสองชุด แต่ว่าทั้งสองชุดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ แล้วก็ทั้งสองชุดก็ไม่เหมือนกันอีก ว่าง่ายๆ ซีกี่ครั้งก็เพี้ยนเท่านั้นครั้ง แต่ว่าเพี้ยนแค่ไหนกันล่ะ

ผมแอบบอกผิดไปตอนที่แล้ว ขอแก้ตอนนี้เลยละกัน จากการวิจัยพบว่าถ้าฝาแฝดมีโอกาสที่จะมีลักษณะนิสัยการเกาะติดเหมือนกัน (ถ้าไม่เข้าใจแปลว่าอะไร ให้ไปอ่านเกาะแกะ) ประมาณ 70% แต่ว่าพี่น้องมีโอกาสแค่ 50% ตัวอย่างเช่น



คุณไทด์ และคุณท็อปตอนเกิดมามีโอกาสมีลักษณะนิสัยการเกาะติดเหมือนกัน 70%



คุณพลอย และคุณนุ่นตอนเกิดมามีโอกาสมีลักษณะนิสัยการเกาะติดเหมือนกัน 50% (แต่เรื่องความสวยไม่แน่ใจ แต่่ว่าสวยเหมือนกันทั้งคู่)

มันแปลว่าอะไรล่ะเนี่ย แสดงว่าเครื่องซีร็อกซ์มันเพี้ยนมากขนาดนั้นเลยรึ เพราะว่าถ้าไม่เพี้ยนเลย ฝาแฝดเหมือนก็ต้องมีลักษณะการเกาะติดเหมือนกันเปี๊ยบเลยสิ แสดงว่าเวลาซีร็อกซ์มีโอกาสซีเพี้ยนไป 30% เลยเหรอ แต่ว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้นิ่หน่า เพราะว่าตอนซีส่วนอื่นของคัมภีร์แทบจะไม่ค่อยเพี้ยนเลย หน้าตาฝาแฝดเลยเหมือนกันเกือบ 100% ไอ้ 30% ที่มันเพี้ยนไปน่าจะมาจากอย่างอื่นนะเนี่ย

คนเราพิเศษว่านั่นตรงที่ คนมันเปลี่ยนกันได้ คนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปตามอะไร เปลี่ยนไปตามประสบการณ์ และการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมนั่นเอง ฝาแฝดเกิดมาเหมือนกันก็จริง แต่พอเข้าโรงเรียนอนุบาลก็เล่นกับเพื่อนคนละกลุ่มกัน อาจจะมีครูประจำชั้นคนละคนกัน พ่อแม่อาจจะโอ๋ไม่เท่ากัน คนนึงอาจจะป่วยบ่อยกว่าอีกคนนึง ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมพวกนี้นั่นที่เป็นอีกตัวกำหนดลักษณะนิสัยของคน เพราะฉะนั้น

คน = คัมภีร์จีโนม + สิ่งแวดล้อม

แต่ว่าอะไรมีผลมากกว่ากันล่ะ

ลองนึกดูคุณไทด์ คุณท็อปหน้าตาก็เหมือนกันงี้มาแต่ไหนแต่ไรจนถึงตอนนี้ก็ยังเหมือนกันอยู่ แต่ว่าคนนึงอาจจะมีผมหงอกมากกว่าอีกคนนึง แต่ว่าส่วนใหญ่หน้าตาก็ยังเหมือนกัน แสดงว่าหน้าตานั้นเป็นผลจากจีน มากกว่าสิ่งแวดล้อม

แต่ว่าโอกาสที่คุณนุ่นกับคุณพลอยจะชอบกินก๋วยเตี๋ยวเหมือนกับ กับโอกาสที่คุณไทด์กับคุณท็อปจะชอบกินก๋วยเตี๋ยวเหมือนกันนั้นเท่ากัน แสดงว่าจีนไม่ค่อยมีผลนั่นเอง จะเหมือนจะต่างขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมล้วนๆ เลย

สมการ คน = คัมภีร์จีโนม + สิ่งแวดล้อม นี้นั่นเองที่ทำให้คนน่าตื่นเต้นกว่าแกะ เพราะว่ามันเยอะมากๆ แต่เยอะแค่ไหนก็ตาม เรามักจะหาคนที่ลักษณะนิสัย หรือว่าหน้าตาคล้ายๆกันเราค่อนข้างยากทีเดียว นึกถึงตอนย้ายโรงเรียนใหม่ เจอเพื่อนใหม่ ถ้าเรารู้ชัวร์ๆว่า มันจะหน้าตาเป็นยังไง นิสัยจะเป็นยังไง ชีวิตก็คงน่าเบื่อแย่ นอนอยู่บ้านดีกว่า แต่เพราะว่านิสัยคนทายยาก รู้หน้าไม่รู้ใจ เราก็เลยต้องไปกินข้าว กินเหล้า ดูหนัง ฟังเพลงด้วยกับพวกมันเพื่อจะได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยกัน ด้วยเหตุผลเดียวกันทำให้การศึกษาจิตวิทยาก็เลยตื่นเต้นเร้าใจ คนมีความหลากหลายและเป็นตัวของตัวเอง มีอีกหลายแง่หลายมุมของบุคลิกภาพคนที่สามารถงัดขึ้นมาศึกษาได้อีกเรื่อยๆ ยิ่งศึกษา ยิ่งมันส์ เหมือนดูละครช่อง 7 ที่ไม่มีตอนจบนั่นเอง แต่ว่าผมขอจบเรื่องบุคลิกภาพแค่นี้นะครับ


ป.ล. จิตวิทยาบุคลิกภาพเป็นตอนที่เขียนแล้วรู้สึกสนุกมาก เพราะว่าเป็นสาขาในจิตวิทยาที่น่าสนใจมากๆ แต่ว่าผมไม่ค่อยรู้เรื่องทางนี้มากเท่าไร ทำให้คลอดแต่ละตอนออกมาช้าเหลือเกิน

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ชีวิต

ถ้าโดเรมอนให้วุ้นแปลภาษาที่ทำให้อ่านออกเขียนได้อีกหนึ่งภาษาตลอดกาล จะขอภาษาอะไร

ภาษาจีน

ทำไมถึงภาษาจีน จะไปจีบหมวย หรือหาติ่มซำกินหรืออะไร แล้วมาเกี่ยวกับบุคลิกภาพที่พูดถึงตอนที่แล้วยังไงตามอ่านกันเลย

เรารู้กันมาแล้วว่าเด็กเริ่มมีนิสัยบุคลิกภาพตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้ว อื่ม..เด็กได้บุคลิกภาพพวกนี้มาจากไหนกันล่ะ มีอยู่สองทฤษฎีด้วยกัน ทฤษฎีแรก บุคลิกภาพนั้นได้มาตั้งแต่ก่อนเกิด ทฤษฎีที่สองบุคลิกภาพนั้นได้มาตอนหลังเกิด

ทฤษฎีแรก ว่ากันง่ายๆ คือ บุคลิกภาพนี่ได้มาจากกรรมพันธุ์ แปลอีกที แปลว่า บุคลิกภาพเนี่ยได้มาจากพ่อแม่ ลองคิดง่ายๆ ก็คือลูกมักจะนิสัยคล้ายๆ พ่อแม่ แล้วก็พี่น้องก็นิสัยคล้ายๆ กัน อื่ม ฟังดูดี เมคเซนส์ นิสัยพ่อแม่มาติดอยู่กับลูกได้ยังไงล่ะเนี่ย มันต้องมีอะไรสักอย่่างที่ซีร็อกซ์บุคลิกภาพของพ่อแม่แล้วก็แปะๆ รวมกันกลายเป็นบุคลิกภาพของเรา หลายคนคงรู้แล้วว่าวิชาที่ศึกษาว่า อะไรที่เป็นคนซีร็อกส์พ่อแม่แล้วมาแปะใส่เรา วิชานี้เรียกว่าพันธุศาสตร์นั่นเอง ขออธิบายง่ายๆ ละกัน ถ้าคนไหนรู้แล้วก็ข้ามไปซะ

ผมอธิบายพันธุศาสตร์ด้วยประโยคเดียวว่า

จีนคือตัวกำหนดว่าเด็กเกิดมาจะออกมาหน้าตา ตับไต ไส้พุง เป็นยังไง

พี่ชายคุณ กับคุณหน้าตาคล้ายๆ กันก็เพราะว่าจีนคล้ายๆกัน ลูกคุณกับลูกคนข้างบ้านหน้าตาไม่คล้ายกันก็เพราะว่ายีนไม่คล้ายกัน ง่ายๆ แค่นั้นเอง ลองนึกว่าไข่กับอสุจิผสมกันปุ๊บก็ให้คัมภีร์ขึ้นมากระบอกนึงซึ่งเรียกว่า จีโนม ให้นึกถึงคัมภีร์ในหนังกำลังภายใน คือเป็นม้วนยาวๆ มีตัวหนังสือจีนที่อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง หน้าตาเป็นแบบนี้

ATGGTCCGATCGATCGCCGAGCTCGGATCGATCGAT...

ภาษาจีนที่ว่านี้ไม่ใช่ภาษาที่อาหมวย อาตี๋ อาม่า อาอี๊พูดกัน ภาษาจีนที่ว่าคือภาษาที่คัมภีร์จีโนมใช้ คิดว่าตัวหนังสือจีนพวกนั้นเปรียบได้กับ จีนที่อยู่ในตัวคน นั่นเอง (อะโหย เผอิญซะ) คัมภีร์นี้ไม่ได้สอนวิชาหมัดสะท้านฟ้า แต่ว่าคัมภีร์นี้บอกว่า นี่ๆ เอาเท้าไปติดกับขานะ ทำจมูกให้บี้ๆ ทำตาให้มีสองชั้น เอาตาไปติดกับหน้าอย่าเอาไปติดกับเอว คัมภีร์นี้คือพิมพ์เขียวของชีวิตที่กำลังจะเกิดมาใหม่นั่นเอง

อย่าคิดว่าคนเท่านี้ที่มีคัมภีร์สะท้านฟ้านี้ไว้ครอบครอง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีเหมือนกันหมด ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบคัมภีร์จีโนมของสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิดเลย รวมถึง รวมถึง สตรอเบอร์รี
นักพันธุกรรมก็คิดไปว่า เอ ตอนสมัยอยู่มัธยมเคยไปจิ๊กเอาสมุดพกตัวเอง แล้วมาแก้คะแนน สุดท้ายปลายปีคะแนนก็เลยพุ่งกระฉูด ถ้าเกิดเอาคัมภีร์จีโนมของสตรอเบอร์รีมาแก้ทำให้ลูกเท่าบ้าน โตกลางทะเลทรายได้ ก็คงดีได้อร่อยกันทั้งปี นักพันธุกรรมก็เลยหาวิธีถอดคัมภีร์จีโนมสตรอเบอร์รีแล่้วแอบแก้ ปรากฎว่าสตรอเบอร์รีก็ออกมาลูกเท่าบ้าน แล้วก็โตได้ทุกฤดูจริงๆ นี่คือที่มาของอาหารที่ถูกดัดแปลงทางพันธุกรรมหรือ จีเอ็มโอ (Genetically modified organism)

เพราะฉะนั้นคัมภีร์จีโนมนั้นกำหนดทุกชีวิต ถ้าเราอ่านภาษาจีนออก เขียนภาษาจีนได้ เราสามารถควบคุมทุกชีวิตบนโลกนี้ได้ เพราะฉะนั้นโดเรมอนให้วุ้นแปลภาษามา นักพันธุศาสตร์จะขอตะครุบเรียนภาษาจีน ตอนนี้เราพอจะอ่านจีโนมได้บ้างแล้ว

อื่มมีอะไรให้พูดได้อีกเยอะทีเดียวเกี่ยวกับคัมภีร์จีโนม แต่ว่าขอยกไปพูดตอนหลังๆที่พูดถึงประสาทวิทยาศาสตร์ละกัน (เหะ แอบเรียนสาขานี้อยู่ ไม่แอบพูดถึงก็ไม่ได้)

กลับมาที่บุคลิกภาพของเรากับพ่อแม่เรา คัมภีร์ของเราคือ ซีร็อกซ์คัมภีร์ของแม่ส่วนนึง ของพ่อส่วนนึงแล้วเอามาแปะๆใส่คัมภีร์เรา โดยที่เครื่องซีร็อกซ์ไม่ค่อยชัดบางทีก็ซีผิดซีถูก ตัวหนังสือหายไปบ้าง เพราะฉะนั้นเราเลยไม่ค่อยเหมือนกับพ่อแม่เราทุกประการก็เพราะว่าเครื่องซีร็อกซ์มันแอบเพี้ยนนั่นเอง นักจิตวิทยาบุคลิกภาพส่วนนึงเชื่อว่า บุคลิกภาพนี่ก็ถูกระบุไว้ในคัมภีร์เหมือนกัน เอ แต่จะไปบอกคนอื่นได้ยังไงว่าจริง ในเมื่อเราอ่านคัมภีร์นี้ไม่ค่อยออก นักจิตวิทยาใช้ทฤษฎีที่ว่า คัมภีร์ของฝาแฝดแท้ (ฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกับเปี๊ยบ) จะเหมือนกันเปี๊ยบถ้าเครื่องซีร็อกซ์ไม่ซีเพี้ยนไปสักนิดเลย ถ้าฝาแฝดแท้มีอะไรที่เหมือนกันเกือบทุกประการแสดงว่าลักษณะนั้นถูกกำหนดโดยจีนนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น ถ้าแฝดฝานึงชอบสูบบุหรี่ แฝดอีกฝานึงมักจะชอบสูบบุหรี่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแสดงว่าต้องมีจีนที่คอยกำหนดว่าคนๆนั้นชอบสูบบุหรี่ หรือชอบกลิ่นบุหรี่ หรือชอบนิโคตินอะไรก็ว่าไป
อีกตัวอย่างนึงที่น่าสนใจกว่า ถ้าแฝดฝานึงมีลักษณะนิสัยการเกาะติดแบบไม่เหนียว (ถ้าไม่เข้าใจแปลว่าอะไร ให้ไปอ่านต่อนที่แล้ว) แฝดอีกฝานึงมีโอกาส 70% ที่จะมีลักษณะการเกาะติดแบบไม่เหนียวเช่นกัน แต่ถ้าเป็นพี่น้องกันเฉยๆ หรือเป็นแฝดคนละฝา (เกิดจากไข่คนละใบ หน้าตาไม่เหมือนกัน อาจจะไม่ใช่เพศเดียวกัน) จะมีโอกาสแค่ 50% ที่จะมีลักษณะเกาะติดแบบไม่เหนียวเช่นเดียวกับพี่หรือน้อง แสดงว่ากรรมพันธุ์มีผลต่อบุคลิกภาพลักษณะนิสัย

เขียนๆไปชักยาว จบแค่ละกัน

อ้อ สวัสดีปีใหม่ครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่าน