วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

วิปริต โรคจิต ไซโค ตอนหนึ่ง

ถ้าชอบจับแมวแถวบ้านมาเชือดเอาแช่ช่องฟรีซที่บ้านแล้วถ่ายรูปเก็บไว้ ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าชอบขโมยกางเกงในชาวบ้านมาดม ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าชอบเอาเกงเกงในตัวเองที่ใส่แล้วมาดมล่ะ ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าชอบพูดพึมพัมกับตัวเองคนเดียว ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าไม่สวดชิณบัญชรสิบห้าจบจะนอนไม่หลับ ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าไม่ใส่หมวกจะไม่ยอมออกนอกบ้าน ถือว่าโรคจิตมั้ย

ถ้าชอบดูหนังโป๊ทุกวันล่ะ ถือว่าโรคจิตมั้ย

นอกจากคนเราจะมีบุคลิกภาพที่ต่างกันแล้ว คนเรายังมีความโรคจิตต่างกันไปอีกด้วย แต่ว่าอะไรกันล่ะครับที่เป็นตัวขีดว่าอะไรถือว่าโรคจิต อะไรไม่ใช่โรคจิต หรือว่าความโรคจิตไม่ใช่ขาวกับดำ แต่ว่ามีการแยกระดับความโรคจิตจากขาวถึงเทาอ่อนถึงเทาน้อยๆถึงเทาเฉยๆถึงเทาแก่ถึงดำ ลองมาวิเคราะห์กันดูดีกว่า

นายเดฟ (นามสมมติ)

จมูกโต ตาโต สูงยาว เข่าดี หน้าตาพอไปวัดไปวาตอนสายๆ บ่ายๆ ได้ แต่ว่านายเดฟมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้ นายเดฟไม่ยอมกินอาหารที่มาจากสัตว์ชนิดเดียวกัน เช่น เบอร์เกอร์เนื้อโปะชีส เพราะว่าชีสกับเนื้อมาจากวัวเหมือนกัน นายเดฟไม่กินอาหารทะเลที่มีเปลือกแข็ง เช่นปู หรือกุ้ง ก่อนจากบ้านนายเดฟจะต้องมีอะไรสักอย่างคลุมหัว ไม่งั้นไม่ยอมออกจากบ้าน นายเดฟบางวันจะอยุ่ในบ้านอย่างเดียว ไม่ยอมทำงาน ไม่ติดต่อธุระใดๆ ทั้งนั้น จะออกไปเซเว่นซื้อข้าวกินก็ไม่ได้ จะอยู่บ้านสั่งอาหารเข้ามาก็ไม่ได้ แต่พอตะวันตกดินปุ๊บจะดำเนินชีวิตตามปกติได้ นอกเหนือจากนี้นายเดฟก็เป็นกระทาชายทั่วไปตามท้องตลาด

อื้อ นายเดฟโรคจิตแน่ๆ เลย ทำไมต้องมีข้อยกเว้นประหลาดพวกนี้ด้วย มีไม่ยอมออกนอกบ้านบางวัน เพราะว่าแอบนอนร้องไห้อยู่คนเดียวเลยหาข้ออ้างไม่ยอมออกมาพบปะผู้คนรึเปล่า โรคจิตชัวร์ พาไปหานักจิตวิทยาด่วน

คำตอบคือไม่ครับนายเดฟจัดว่าปกติ พวกข้อยกเว้นต่างๆ นานาที่ว่ามาทั้งหมดคือ เป็นข้อยกเว้นของศาสนาจูดา ออโธดอกซ์ คนคงเข้าใจกันถ้าบอกว่าพวกนี้เป็นศาสนา อันนี้เป็นปกติทั่วไป คนเป็นล้านยอมรับนับถือทำตามว่ากัน ศาสนาต่างกันอันนี้เข้าใจ เป็นแค่ความเชื่อต่างคนต่างเชื่อ ลองดูอีกรายนึง

นายอูรูกูด (นามสมมติ)

นายอูรูกูด เป็นคนชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ บนเกาะห่างจากชายฝั่งหลายชั่วโมงบิน นายอูรูกูดออกจากบ้านจับปลา เก็บผักผลไม้จากป่ามาแบ่งกันกินกับเพื่อนบ้านทุกวัน ชีวิตเรียบง่ายปกติสุขดี แต่ แต่ แต่ ว่าบางทีนายอูรูกูดจะพูดพัมเหมือนพูดคุยสนทนากับใครสักคน แต่พอมองไปก็ไม่มีใคร บางทีพอคุยเสร็จก็เดินไปหาล่ากวางมาสามตัว จับปลามาสองตัว และนกหนึ่งตัวเอามาเผาเป็นจุล บางทีนายอูรูกูดก็จะนั่งเฉยๆไม่กระดุกกระดิกนายแม้แต่นิดเดียวเป็นชั่วโมง เสร็จแล้วก็หายกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ทีมวิจัยบุกสำรวจคลุกคลีกับคนในหมู่บ้านนี้ คนในหมู่บ้านบอกว่านายอูรูกูดยกย่องเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เพราะว่าสามารถมองเห็นและพูดคุยกับเทพเจ้าได้ ทุกเดือนชาวบ้านจะส่งกวางสามตัว ปลาสองตัว นกหนึ่งตัวไปให้นายอูรูกูดเผา เพราะว่าบอกว่าเป็นการบูชาเทพเจ้าได้ แต่บางทีนายอูรูกูดหัวหน้าหมู่บ้านจะนิ่งไปไม่กระดุกกระดิกเพราะว่าถอดจิตไปอยู่อีกมิตินึง แต่ทีมสำรวจตรวจเจอว่าอาการของนายอูรูกูดเข้าข่ายผู้ป่วย Schizophrenia ตามตำราโรคทางจิต หลายสิบปีต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านคนถัดไปสามารถพูดคุยกับเทพเจ้าได้เหมือนกัน ผู้คนยอมรับนับถือกันต่อไป

พวกพิธีของเผ่าของนายอูรูกูดก็ไม่ต่างอะไรกับศาสนาที่เราๆ หลายคนยอมรับนับถือกัน บางศาสนามีนักทำพิธีที่รู้วิธีติดต่อกับพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้ เราไม่ถือว่าบ้า นายอูรูกูดเราถือว่าบ้า ก่อนที่เราจะพูดถึงอาการทางจิต หรือโรคทางจิต สิ่งที่สำคัญที่ต้องเอามาเป็นบริบทก็คือวัฒนธรรมของคน ก็เพราะวัฒนธรรมนี่เองทำให้เราต้องลองคิดอีกทีว่า โรคทางจิตคืออะไร อะไรบ้า อะไรไม่บ้า

ตอนหน้าเราเริ่มพูดถึงโรคทางจิตต่างๆ ตามตำรา เรื่องพวกนี้แอบเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เลยอยากหยิบยกเรื่องกรอบทางวัฒนธรรมขึ้นก่อนจะพูดอะไรต่อไป เพราะฉะนั้นอย่ากลับบ้านไปแล้วบอกน้องแถวบ้านว่า นักบวช นักเข้าทรงพวกนั้นโรคจิตทั้งนั้น เรื่องนี้ลึกลับซับซ้อนกว่านั้นเยอะ ตอนหน้าแอบมาพลิกดูตำราของนักจิตวิทยาคลินิคกันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ชีวิต ตอนสอง

ตอนที่แล้วเราบอกว่าฝาแฝดมีคัมภีร์จีโนมที่เหมือนกันเกือบเปี๊ยบ แต่ที่ไม่เหมือนกันทุกประการก็เพราะว่าเครื่องซีร็อกซ์คัมภีร์มันเพี้ยนๆ บอกว่าให้ซีมาสองชุด แต่ว่าทั้งสองชุดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ แล้วก็ทั้งสองชุดก็ไม่เหมือนกันอีก ว่าง่ายๆ ซีกี่ครั้งก็เพี้ยนเท่านั้นครั้ง แต่ว่าเพี้ยนแค่ไหนกันล่ะ

ผมแอบบอกผิดไปตอนที่แล้ว ขอแก้ตอนนี้เลยละกัน จากการวิจัยพบว่าถ้าฝาแฝดมีโอกาสที่จะมีลักษณะนิสัยการเกาะติดเหมือนกัน (ถ้าไม่เข้าใจแปลว่าอะไร ให้ไปอ่านเกาะแกะ) ประมาณ 70% แต่ว่าพี่น้องมีโอกาสแค่ 50% ตัวอย่างเช่น



คุณไทด์ และคุณท็อปตอนเกิดมามีโอกาสมีลักษณะนิสัยการเกาะติดเหมือนกัน 70%



คุณพลอย และคุณนุ่นตอนเกิดมามีโอกาสมีลักษณะนิสัยการเกาะติดเหมือนกัน 50% (แต่เรื่องความสวยไม่แน่ใจ แต่่ว่าสวยเหมือนกันทั้งคู่)

มันแปลว่าอะไรล่ะเนี่ย แสดงว่าเครื่องซีร็อกซ์มันเพี้ยนมากขนาดนั้นเลยรึ เพราะว่าถ้าไม่เพี้ยนเลย ฝาแฝดเหมือนก็ต้องมีลักษณะการเกาะติดเหมือนกันเปี๊ยบเลยสิ แสดงว่าเวลาซีร็อกซ์มีโอกาสซีเพี้ยนไป 30% เลยเหรอ แต่ว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้นิ่หน่า เพราะว่าตอนซีส่วนอื่นของคัมภีร์แทบจะไม่ค่อยเพี้ยนเลย หน้าตาฝาแฝดเลยเหมือนกันเกือบ 100% ไอ้ 30% ที่มันเพี้ยนไปน่าจะมาจากอย่างอื่นนะเนี่ย

คนเราพิเศษว่านั่นตรงที่ คนมันเปลี่ยนกันได้ คนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปตามอะไร เปลี่ยนไปตามประสบการณ์ และการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมนั่นเอง ฝาแฝดเกิดมาเหมือนกันก็จริง แต่พอเข้าโรงเรียนอนุบาลก็เล่นกับเพื่อนคนละกลุ่มกัน อาจจะมีครูประจำชั้นคนละคนกัน พ่อแม่อาจจะโอ๋ไม่เท่ากัน คนนึงอาจจะป่วยบ่อยกว่าอีกคนนึง ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมพวกนี้นั่นที่เป็นอีกตัวกำหนดลักษณะนิสัยของคน เพราะฉะนั้น

คน = คัมภีร์จีโนม + สิ่งแวดล้อม

แต่ว่าอะไรมีผลมากกว่ากันล่ะ

ลองนึกดูคุณไทด์ คุณท็อปหน้าตาก็เหมือนกันงี้มาแต่ไหนแต่ไรจนถึงตอนนี้ก็ยังเหมือนกันอยู่ แต่ว่าคนนึงอาจจะมีผมหงอกมากกว่าอีกคนนึง แต่ว่าส่วนใหญ่หน้าตาก็ยังเหมือนกัน แสดงว่าหน้าตานั้นเป็นผลจากจีน มากกว่าสิ่งแวดล้อม

แต่ว่าโอกาสที่คุณนุ่นกับคุณพลอยจะชอบกินก๋วยเตี๋ยวเหมือนกับ กับโอกาสที่คุณไทด์กับคุณท็อปจะชอบกินก๋วยเตี๋ยวเหมือนกันนั้นเท่ากัน แสดงว่าจีนไม่ค่อยมีผลนั่นเอง จะเหมือนจะต่างขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมล้วนๆ เลย

สมการ คน = คัมภีร์จีโนม + สิ่งแวดล้อม นี้นั่นเองที่ทำให้คนน่าตื่นเต้นกว่าแกะ เพราะว่ามันเยอะมากๆ แต่เยอะแค่ไหนก็ตาม เรามักจะหาคนที่ลักษณะนิสัย หรือว่าหน้าตาคล้ายๆกันเราค่อนข้างยากทีเดียว นึกถึงตอนย้ายโรงเรียนใหม่ เจอเพื่อนใหม่ ถ้าเรารู้ชัวร์ๆว่า มันจะหน้าตาเป็นยังไง นิสัยจะเป็นยังไง ชีวิตก็คงน่าเบื่อแย่ นอนอยู่บ้านดีกว่า แต่เพราะว่านิสัยคนทายยาก รู้หน้าไม่รู้ใจ เราก็เลยต้องไปกินข้าว กินเหล้า ดูหนัง ฟังเพลงด้วยกับพวกมันเพื่อจะได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยกัน ด้วยเหตุผลเดียวกันทำให้การศึกษาจิตวิทยาก็เลยตื่นเต้นเร้าใจ คนมีความหลากหลายและเป็นตัวของตัวเอง มีอีกหลายแง่หลายมุมของบุคลิกภาพคนที่สามารถงัดขึ้นมาศึกษาได้อีกเรื่อยๆ ยิ่งศึกษา ยิ่งมันส์ เหมือนดูละครช่อง 7 ที่ไม่มีตอนจบนั่นเอง แต่ว่าผมขอจบเรื่องบุคลิกภาพแค่นี้นะครับ


ป.ล. จิตวิทยาบุคลิกภาพเป็นตอนที่เขียนแล้วรู้สึกสนุกมาก เพราะว่าเป็นสาขาในจิตวิทยาที่น่าสนใจมากๆ แต่ว่าผมไม่ค่อยรู้เรื่องทางนี้มากเท่าไร ทำให้คลอดแต่ละตอนออกมาช้าเหลือเกิน

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ชีวิต

ถ้าโดเรมอนให้วุ้นแปลภาษาที่ทำให้อ่านออกเขียนได้อีกหนึ่งภาษาตลอดกาล จะขอภาษาอะไร

ภาษาจีน

ทำไมถึงภาษาจีน จะไปจีบหมวย หรือหาติ่มซำกินหรืออะไร แล้วมาเกี่ยวกับบุคลิกภาพที่พูดถึงตอนที่แล้วยังไงตามอ่านกันเลย

เรารู้กันมาแล้วว่าเด็กเริ่มมีนิสัยบุคลิกภาพตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้ว อื่ม..เด็กได้บุคลิกภาพพวกนี้มาจากไหนกันล่ะ มีอยู่สองทฤษฎีด้วยกัน ทฤษฎีแรก บุคลิกภาพนั้นได้มาตั้งแต่ก่อนเกิด ทฤษฎีที่สองบุคลิกภาพนั้นได้มาตอนหลังเกิด

ทฤษฎีแรก ว่ากันง่ายๆ คือ บุคลิกภาพนี่ได้มาจากกรรมพันธุ์ แปลอีกที แปลว่า บุคลิกภาพเนี่ยได้มาจากพ่อแม่ ลองคิดง่ายๆ ก็คือลูกมักจะนิสัยคล้ายๆ พ่อแม่ แล้วก็พี่น้องก็นิสัยคล้ายๆ กัน อื่ม ฟังดูดี เมคเซนส์ นิสัยพ่อแม่มาติดอยู่กับลูกได้ยังไงล่ะเนี่ย มันต้องมีอะไรสักอย่่างที่ซีร็อกซ์บุคลิกภาพของพ่อแม่แล้วก็แปะๆ รวมกันกลายเป็นบุคลิกภาพของเรา หลายคนคงรู้แล้วว่าวิชาที่ศึกษาว่า อะไรที่เป็นคนซีร็อกส์พ่อแม่แล้วมาแปะใส่เรา วิชานี้เรียกว่าพันธุศาสตร์นั่นเอง ขออธิบายง่ายๆ ละกัน ถ้าคนไหนรู้แล้วก็ข้ามไปซะ

ผมอธิบายพันธุศาสตร์ด้วยประโยคเดียวว่า

จีนคือตัวกำหนดว่าเด็กเกิดมาจะออกมาหน้าตา ตับไต ไส้พุง เป็นยังไง

พี่ชายคุณ กับคุณหน้าตาคล้ายๆ กันก็เพราะว่าจีนคล้ายๆกัน ลูกคุณกับลูกคนข้างบ้านหน้าตาไม่คล้ายกันก็เพราะว่ายีนไม่คล้ายกัน ง่ายๆ แค่นั้นเอง ลองนึกว่าไข่กับอสุจิผสมกันปุ๊บก็ให้คัมภีร์ขึ้นมากระบอกนึงซึ่งเรียกว่า จีโนม ให้นึกถึงคัมภีร์ในหนังกำลังภายใน คือเป็นม้วนยาวๆ มีตัวหนังสือจีนที่อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง หน้าตาเป็นแบบนี้

ATGGTCCGATCGATCGCCGAGCTCGGATCGATCGAT...

ภาษาจีนที่ว่านี้ไม่ใช่ภาษาที่อาหมวย อาตี๋ อาม่า อาอี๊พูดกัน ภาษาจีนที่ว่าคือภาษาที่คัมภีร์จีโนมใช้ คิดว่าตัวหนังสือจีนพวกนั้นเปรียบได้กับ จีนที่อยู่ในตัวคน นั่นเอง (อะโหย เผอิญซะ) คัมภีร์นี้ไม่ได้สอนวิชาหมัดสะท้านฟ้า แต่ว่าคัมภีร์นี้บอกว่า นี่ๆ เอาเท้าไปติดกับขานะ ทำจมูกให้บี้ๆ ทำตาให้มีสองชั้น เอาตาไปติดกับหน้าอย่าเอาไปติดกับเอว คัมภีร์นี้คือพิมพ์เขียวของชีวิตที่กำลังจะเกิดมาใหม่นั่นเอง

อย่าคิดว่าคนเท่านี้ที่มีคัมภีร์สะท้านฟ้านี้ไว้ครอบครอง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีเหมือนกันหมด ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบคัมภีร์จีโนมของสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิดเลย รวมถึง รวมถึง สตรอเบอร์รี
นักพันธุกรรมก็คิดไปว่า เอ ตอนสมัยอยู่มัธยมเคยไปจิ๊กเอาสมุดพกตัวเอง แล้วมาแก้คะแนน สุดท้ายปลายปีคะแนนก็เลยพุ่งกระฉูด ถ้าเกิดเอาคัมภีร์จีโนมของสตรอเบอร์รีมาแก้ทำให้ลูกเท่าบ้าน โตกลางทะเลทรายได้ ก็คงดีได้อร่อยกันทั้งปี นักพันธุกรรมก็เลยหาวิธีถอดคัมภีร์จีโนมสตรอเบอร์รีแล่้วแอบแก้ ปรากฎว่าสตรอเบอร์รีก็ออกมาลูกเท่าบ้าน แล้วก็โตได้ทุกฤดูจริงๆ นี่คือที่มาของอาหารที่ถูกดัดแปลงทางพันธุกรรมหรือ จีเอ็มโอ (Genetically modified organism)

เพราะฉะนั้นคัมภีร์จีโนมนั้นกำหนดทุกชีวิต ถ้าเราอ่านภาษาจีนออก เขียนภาษาจีนได้ เราสามารถควบคุมทุกชีวิตบนโลกนี้ได้ เพราะฉะนั้นโดเรมอนให้วุ้นแปลภาษามา นักพันธุศาสตร์จะขอตะครุบเรียนภาษาจีน ตอนนี้เราพอจะอ่านจีโนมได้บ้างแล้ว

อื่มมีอะไรให้พูดได้อีกเยอะทีเดียวเกี่ยวกับคัมภีร์จีโนม แต่ว่าขอยกไปพูดตอนหลังๆที่พูดถึงประสาทวิทยาศาสตร์ละกัน (เหะ แอบเรียนสาขานี้อยู่ ไม่แอบพูดถึงก็ไม่ได้)

กลับมาที่บุคลิกภาพของเรากับพ่อแม่เรา คัมภีร์ของเราคือ ซีร็อกซ์คัมภีร์ของแม่ส่วนนึง ของพ่อส่วนนึงแล้วเอามาแปะๆใส่คัมภีร์เรา โดยที่เครื่องซีร็อกซ์ไม่ค่อยชัดบางทีก็ซีผิดซีถูก ตัวหนังสือหายไปบ้าง เพราะฉะนั้นเราเลยไม่ค่อยเหมือนกับพ่อแม่เราทุกประการก็เพราะว่าเครื่องซีร็อกซ์มันแอบเพี้ยนนั่นเอง นักจิตวิทยาบุคลิกภาพส่วนนึงเชื่อว่า บุคลิกภาพนี่ก็ถูกระบุไว้ในคัมภีร์เหมือนกัน เอ แต่จะไปบอกคนอื่นได้ยังไงว่าจริง ในเมื่อเราอ่านคัมภีร์นี้ไม่ค่อยออก นักจิตวิทยาใช้ทฤษฎีที่ว่า คัมภีร์ของฝาแฝดแท้ (ฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกับเปี๊ยบ) จะเหมือนกันเปี๊ยบถ้าเครื่องซีร็อกซ์ไม่ซีเพี้ยนไปสักนิดเลย ถ้าฝาแฝดแท้มีอะไรที่เหมือนกันเกือบทุกประการแสดงว่าลักษณะนั้นถูกกำหนดโดยจีนนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น ถ้าแฝดฝานึงชอบสูบบุหรี่ แฝดอีกฝานึงมักจะชอบสูบบุหรี่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแสดงว่าต้องมีจีนที่คอยกำหนดว่าคนๆนั้นชอบสูบบุหรี่ หรือชอบกลิ่นบุหรี่ หรือชอบนิโคตินอะไรก็ว่าไป
อีกตัวอย่างนึงที่น่าสนใจกว่า ถ้าแฝดฝานึงมีลักษณะนิสัยการเกาะติดแบบไม่เหนียว (ถ้าไม่เข้าใจแปลว่าอะไร ให้ไปอ่านต่อนที่แล้ว) แฝดอีกฝานึงมีโอกาส 70% ที่จะมีลักษณะการเกาะติดแบบไม่เหนียวเช่นกัน แต่ถ้าเป็นพี่น้องกันเฉยๆ หรือเป็นแฝดคนละฝา (เกิดจากไข่คนละใบ หน้าตาไม่เหมือนกัน อาจจะไม่ใช่เพศเดียวกัน) จะมีโอกาสแค่ 50% ที่จะมีลักษณะเกาะติดแบบไม่เหนียวเช่นเดียวกับพี่หรือน้อง แสดงว่ากรรมพันธุ์มีผลต่อบุคลิกภาพลักษณะนิสัย

เขียนๆไปชักยาว จบแค่ละกัน

อ้อ สวัสดีปีใหม่ครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่าน