วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยอดชายนายซิมบาโด้ ตอนสอง

จากตอนที่แล้วทุกคนรู้เบสิคแล้วว่าแกล้งให้เพื่อนเดิมไปตบกบาลคนขับรถเมล์เขียวได้ยังไง แล้วก็รู้แล้วว่าพอคนธรรมดาๆ ตาสี ตาสามาจับใส่คุกปลอมแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง (อื่ม...ถ้าไม่รู้ไปอ่านยอดชายนายซิมบาโด้ ตอนหนึ่ง) ตอนนี้ทุกคนจะพอเข้าใจว่านายซิมบาโด้นอกจากจับคนมาขังคุกเก่งแล้วยังมีความสามารถในการต่อยไข่ ใส่สี โรยผักชี งานทดลองของพี่แกจนออกทีวีได้ทุกวี่ทุกวัน ดูกันต่อเลยว่า หมอนี่ดังได้เพราะอะไร

ดังเพราะเสนอหน้าเก่ง
เด็กเมกันที่เรียนจิตวิทยาตอนอยู่ม.ปลาย มักจะได้ดู วิดีโอของซิมบาโด้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือสารคดีจิตวิทยาที่นายซิมบาโด้พร้อมกับหนวดเครื่องหมายการค้าของเฮียเค้าตอนหนุ่มๆ ปัจจุบันโรงเรียนส่วนใหญ่ก็ยังใช้กันอยู่ แต่ล่าสุดนี้การทดลองคุกแสตนฟอร์ดดังขึ้นมาใหม่เพราะว่ามันไปคล้ายคลึงกับสถานการณ์ของคุกในอิรักตอนที่พวกเมกันไปบุกอิรักเพราะคิดว่าซัดดัมกำลังเตรียมอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูงอยู่ และกำลังร่วมสนับสนุนการก่อการร้าย (ทั้งๆที่ อาจจะไม่จริง เมกันอาจจะแค่อยากได้น้ำมัน) แต่ว่าเรื่องที่มันจะเกี่ยวกับนายซิมบาโด้ก็คือว่า ทหารเมกันเข้าไปในอิรักแล้วก็ยีดคุกอาบู กราอิบเป็นฐานบัญชาการหรืออะไรประมาณนั้น แล้วมีอยู่วันหนึ่งมีภาพหลุดจากคุกออกมา ไม่ใช่วิดีโอคลิปอั้มหรืออะไรทั้งนั้น แต่ว่าเป็นภาพนักโทษอิรักในคุกทหารเมกัน ทรมานสารพัดที่จะๆ คือรูปข้างล่าง


นายทหารที่นั่งทับนักโทษอิรักอยู่ชื่อว่า จ่าชิป พอรูปนี้หลุดออกไปจ่าชิปก็เดือดร้อนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะว่าทำให้กองทัพเมกันเสื่อมเสียชื่อเสียงไปทั่วโลก (ใช่ว่าชื่อเสียงยังมีให้เสื่อมเสียอะนะ) แต่ว่าจ่าชิบกำลังจะถูกจับเข้าคุกด้วยประการฉะนี้ แต่ว่าแต่นแต๊น นายซิมบาโด้ก็ออกมาพยายามช่วยชีวิตจ่าชิป นายซิมบาโด้ก็เถียงว่าที่จริงเรื่องที่จ่าชิปกลั่นแกล้งทรมานนักโทษอิรักไม่ใช่ความผิดของจ่าชิปเองเลย สถานการณ์ในคุกอาบูกราอิบก็เหมือนสถานการณ์ในคุกแสตนฟอร์ด คนดีๆ ธรรมดาๆ พอจับมาอยู่สถานการณ์แบบนั้นก็กลายเป็นคนเลวกันไปหมดเพราะว่าอำนาจของสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ จ่าชิปก็เหมือนกันสถานการณ์ในคุกอาบูกราอิบนั้นเคร่งเครียดมาก เพราะไม่รู้จะถูกพวกอิรักเอาระเบิดลง หรือมาลุยทลายคุกเมื่อไร แล้วว่าทหารเมกันไม่เคยถูกฝึกให้มาอยู่คุมคุกในต่างแดนแบบนั้นด้วย เพราะฉะนั้นทหารนายไหนต่อให้ดีแค่ไหนก็ตามถ้าถูกส่งมาทีนี่ก็คงทำเหมือนจ่าชิปกันทั้งนั้น ด้วยเหตุนั้นเองจ่าชิปไม่ควรจะเป็นจะตกเป็นผู้ต้องหา คนที่ฝึกทหารต่างหากควรจะเป็นคนรับผิด

พยายามก็พยายามนะครับ แต่ว่าศาลไม่ฟังความจากนายซิมบาโด้ แล้วก็สั่งจับขังจ่าชิป ปลดยศ ปลดเงินประจำตำแหน่ง เสียทุกอย่างเลย...

โอเคเรื่องทำให้นายซิมบาโด้ดังขึ้นมา ถึงแม้จะช่วยนายชิปไม่สำเร็จ แต่ว่าสื่อก็เอาคำให้การของนายซิมบาโด้ออกไปเผยแพร่ คนก็หันมาสนใจการทดลองคุกแสตนฟอร์ดเข้าไปอีก แต่ว่ายังไม่พอครับ นายซิมบาโด้ก็ออกมาเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ว่าไม่ใช่หนังสือพอกเก็ตบุ๊คดาราทั่วไป แต่ว่าเป็นหนังสือที่นายซิมบาโด้อ้างถึงการทดลองต่างๆที่เคยทำมา แล้วอ้างอิงถึงกรณีของจ่าชิป แล้วตั้งชื่อปรากฎการณ์ที่สถานการณ์พาให้คนเป็นคนเลวว่า ปรากฎการณ์ลูซิเฟอร์ เหะเหะ ตั้งชื่อตามเทวดาตกสวรรค์แล้วกลายเป็นมารไป แล้วก็ออกทัวร์โปรโมตหนังสือไปทั่วประเทศ ดังเข้าไปอีก ขายของได้ด้วย ฮ่าๆ และยังออกตระเวณทัวร์บรรยายให้เด็กๆฟังอีกว่า เด็กๆครับเราต้องต่อสู้กับสถานการณ์ ทำตัวเป็นวีรบุรุษเดินดิน อย่าให้สถานการณ์พาเราเป็นคนเลวไปได้...ว่าไปนั่น

อ่า คราวนี้สงสัยกันรึเปล่าว่าทำไมศาลถึงไม่เชื่อนายซิมบาโด้ทั้งๆที่เค้าเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา นายซิมบาโด้ดูบ้าๆบอๆ หรือว่าอะไรกัน ที่จริงๆ แล้วนักจิตวิทยาบางกลุ่ม(เหะรวมทั้งผมด้วย) ไม่ค่อยคิดว่าการทดลองคุกแสตนฟอร์ดนี่มันมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากเท่าไร นั่นหมายความว่าการทดลองไม่การควบคุมให้เป็นมาตรฐานเช่น คนคุมคุกในแต่ละวันจะต้องอะไรกับนักโทษบ้าง นักโทษแต่ละวันจะต้องทำอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นคนอื่นจะลองทำการทดลองอีกรอบก็จะไม่เหมือนเดิม ผลออกมาก็อาจจะบอกไม่เหมือนเดิม ทำให้สรุปอะไรไม่ได้สักอย่างจากการทดลอง อันนี้เป็นหนึ่งข้อกล่าวหาว่าการทดลองไม่เป็นวิทยาศาสตร์ อีกอันนึงก็คือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ตามปกติแล้วจะต้องหยิบคนมั่วๆ มาเข้าร่วมการทดลองเพื่อว่าการทดลองจะได้ยุติธรรม และทำให้สรุปได้ว่าผลการทดลองนั้นเวิร์คกับคนทุกกลุ่ม แต่ว่าการทดลองนี้หยิบคนมาไม่มั่วจริง เค้าแต่คนที่ออกจะมีแนวโน้มก้าวร้าวอยู่แล้ว เพราะว่าตามประกาศบอกว่าจะให้คนเข้ามาเป็นคนคุมคุก และนักโทษ คนเห็นประกาศพวกนี้ก็ยิ้ม ฮ่าๆ จะได้เงินค่าตอบแทนด้วย แล้วเผลอได้ตีนักโทษเล่นๆ อีกตะหาก บวกกับนายซิมบาโด้แปะประกาศในมหาวิทยาลัย ก็เลยจะได้แต่เด็กเมกัน ในกลุ่มอายุนั้นๆ เพราะฉะนั้นการทดลองนี้ได้คนไม่มั่วจริง อาจจะเป็นได้ว่าที่การทดลองผลออกมาเป็นอย่างนั้น เพราะได้คนที่มันออกก้าวร้าวอยู่แล้วก็ได้ ถ้าหยิบชาวบ้านข้างถนนมั่วๆ มาจริง ผลอาจจะออกมาไม่เหมือนกัน

แต่ว่าสรุปจริงๆก็คือ ถึงแม้ว่าการทดลองของนายซิมบาโด้อาจจะไม่มีผลสรุปอะไรจริงๆ แต่ว่าประเด็นนายซิมบาโด้ขุดขึ้นมาก็ฟังดูดีอยู่ คนมักจะโทษไปว่าสิ่งเลวๆที่เกิดขึ้น นั้นเกิดจากคนคนนั้นเอง และก็มองข้ามอิทธิพลของสถานการณ์ไป ศาลที่ตัดสินจ่าชิปอาจจะมองข้ามจุดนี้ ที่จริงมีทฤษฎีจากนักจิตวิทยาอีกคนนึงครับ ที่ทำให้เราพอจะรู้ว่าทำไมคนถึงมักจะมองข้ามอิทธิพลของสถานการณ์ การทดลองของนายคนนี้ค่อนข้างฉลาดทีเดียว ไว้มาดูกันตอนหน้าละกัน ตอนนี้เริ่มยาวเกินไปแล้ว

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยอดชายนายซิมบาโด้ ตอนหนึ่ง


ถ้าให้คนไทยบอกชื่อนักจิตวิทยาที่รู้จักมาสักคนนึง คำตอบที่ได้ส่วนใหญ่ก็คือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ หมอนี่ดังมากเพราะว่าสร้างทฤษฎีทะลึ่ง สะดุ้งได้สะใจ แล้วก็นักสะกดจิตด้วย ว่าง่ายถ้านึกถึงนักจิตวิทยาก็จะนึกถึงคนนี้ก่อนเลย (อื่มดร.วัลลภก็เป็นนักจิตวิทยา แต่ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าเค้าทำงานด้านไหน) โอเค แต่ถ้าถามคนเมกัน มันก็จะตอบว่าฟรอยด์เหมือนกัน แต่ว่าล่าสุดนี้คนจะเริ่มตอบว่า ซิมบาโด้ นายซิมบาโด้หน้าตาเหมือนรูปข้างล่างนี้ เคยสอนอยู่แสตนฟอร์ด อยู่พักใหญ่ๆ แต่ว่าเกษียรไปเรียบร้อยแล้ว ออกไปตอนผมเข้าแสตนฟอร์ดพอดี หมอนี่จู่ๆ ดังขึ้นมาได้เพราะหลายสาเหตุอยู่ มาดูกันเลยดีกว่าว่าเพราะอะไร

ดังเพราะการทดลอง

ตอนที่แล้วเราค้างไว้เรื่องจิตวิทยาความชั่ว คนทำความชั่วเพราะอะไร นายมิลแกรมก็บอกให้โลกรู้แล้วว่าคนมักทำชั่วตามที่บุคคลที่อำนาจบอกไว้ ทั้งๆที่คนนั้นอาจจะไม่ได้มีอำนาจเลยก็ตามที นายซิมบาโด้ มาขยายต่อ (โดยไม่ค่อยได้ตั้งใจเท่าไร) มาฟังการทดลองที่ทำให้นายซิมบาโด้ดังมากในเมกา หมอนี่เป็นนักจิตวิทยาในยุคนั้นที่ชอบจับคนมาทำอะไรแปลกๆ แต่ก็มาสรุปเอาทีหลังว่าการทดลองที่ทำ ทำไปทำไม ไม่มีการวางแผนวางแปลนอะไรทั้งนั้น มีอยู่การทดลองนึง การทดลองนี้ชื่อว่าการทดลองเรือนจำแสตนฟอร์ดซึ่งเป็นการทดลองที่ดังมาก นายซิมบาโด้ออกไปประกาศหาอาสาสมัครมาเข้าร่วมการทดลองนี้ โดยให้อาสาสมัครเป็นคนคุมคุกหรือไม่ก็นักโทษ อาสาสมัครไม่มีสิทธิเรือกว่าจะเป็นอะไร นายซิมบาโด้จะจัดเองว่าใครเป็นใคร เริ่มการทดลองโดยการจ้างตำรวจปลอมไปจับอาสาสมัครที่จะเข้าร่วมการทดลองจากบ้าน เหมือนจริงเลย จับสั่งกรงขัง มีเสื้อผ้านักโทษ มีหมายเลขผุ้ต้องขังเรียบร้อย ส่วนคนคุมคุกนั้นนายซิมบาโด้ ก็จัดหาเสื้อคนคุมคุก แว่นตาดำ กระบอง และอุปกรณ์ทุกอย่าง แล้วก็อนุญาตให้คนคุมคุกสามารถกลั่นแกล้งนักโทษได้ตามสมควร สร้างบรรยากาศให้เหมือนว่าชีวิตนักโทษอยู่ภายใต้ระบบของเรือนจำ ระบบของกฎหมาย กฎหมู่ของคุก ผลก็คือ คนคุมคุกกลั่นแกล้งนักโทษสารพัดอย่าง ให้นอนหนาวโดยไม่มีผ้าห่ม ไม่ให้ใส่เสื้อผ้านอน ไม่ให้เอาถังฉี่ไปเททิ้ง ไม่ให้ขี้ไม่ให้เยี่ยว นักโทษก็เริ่มประท้วงด้วยวิธีต่างๆ นักโทษบางคนก็เริ่มออกอาการบ้า เลยถูกเชิญให้ออกจากการทดลอง มีอยู่วันนึงนักโทษทลายคุก คนคุมคุกเลยต้องสร้างคุกขึ้นมาใหม่เลยโมโหกลั่นแกล้งนักโทษหนักขึ้นไปอีก ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาแค่หกวัน จากนั้นการทดลองก็ถูกยกเลิกทันทีทั้งๆที่กะว่าจะปล่อยไว้สองอาทิตย์ จับคนมาใส่ชุดนักโทษปลอมๆ ในคุกปลอมๆ มาเกือบอาทิตย์สรุปอะไรได้บ้างล่ะเนี่ย นายซิมบาโด้ขอสรุปว่าสถานการณ์ และบรรยากาศที่สร้างขึ้นสามารถเปลี่ยนชาวบ้านธรรมดาๆ มาเป็นนักคุมคุกใจโหดได้ วิธีที่จะทำให้คนกลายเป็นคนชั่วไปได้ มีอยู่อย่างน้อยสามวิธี

วิธีแรก คือ ทำให้คนไม่ใช่คน อื่ม...ยังไงกันล่ะ ตัวอย่างเช่นการทดลองของนายมิลแกรมจากตอนที่แล้ว (ถ้านึกไม่ออกให้กลับไปอ่านช็อต) เราสามารถวัดได้ว่าคนจะกระทำรุนแรงกับอีกคนนึงได้มากน้อยแค่ไหนโดยดูที่ไฟช็อตแรงสุดที่เท่าไรโดยเฉลี่ย แต่ในสถานการณ์นี้คนคุมการทดลองแกล้งพูดให้คนกดปุ่มช็อตได้ยินว่า นักเรียนที่อยู่อีกห้องนึงน่ะเหมือนหมาเลย เท่านั้นแหละครับ ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น นักเรียนถูกช็อตแรงกว่าถ้าเทียบกับสถานการณ์ปกติที่คนคุมการทดลองไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับนักเรียน ในการทดลองคุกแสตนฟอร์ดก็มีการใช้แผนนี้เหมือนกัน คนคุมคุกด้วยกันเริ่มเรียกแทนนักโทษว่า มัน หรือ เรียกว่าไอ้นี่ ไอ้นั่นแทนที่จะเรียกว่าคนนี้หรือคนนั้น บวกกับนักโทษแต่ละคนไม่ได้ถูกเรียกตามชื่อ ถูกเรียกตามหมายเลข ยิ่งทำให้ห่างจากความเป็นคนออกไป

วิธีที่สอง คือ ทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร (พยายามแปลมาจาก deinviduation) ไม่รู้เรื่องทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษเลย มาดูตัวอย่างกันดีกว่า การทดลองนึงให้เด็กประถมจับกลุ่มเล่นกัน แล้วลองสังเกตดูว่าเด็กตีกัน หรือเล่นเจ็บๆกันกี่ครั้ง เสร็จแล้วจับเด็กใส่เสื้อผ้าแปลกๆไป แล้วที่สำคัญให้ใส่หน้ากากทุกคน จะได้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แล้วนับอีกว่าตีกันกี่ครั้ง เล่นสักพักให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิมแล้วก็เอาหน้ากากออก แล้วปล่อยให้ไปเล่น นับอีกว่าตีกันกี่ครั้ง ปรากฎว่าตอนใส่หน้ากากเด็กตีกันเยอะว่าตอนไม่ใส่หน้ากากเยอะมาก แผนนี้ก็ถูกใช้ในคุกแสตนฟอร์ด โดยคนคุมคุกจะใส่แว่นตาดำใหญ่ๆตลอด แล้วก็ไม่เคยบอกชื่อให้นักโทษรู้เลย

วิธีที่สาม คือ ทำให้คนสั่งเหมือนมีอำนาจสั่งการ ไอเดียนี้ใกล้ๆกับการทดลองของมิลแกรมจากตอนที่แล้ว แต่ในการทดลองนี้นายซิมบาโด้คือเป็นคนสั่งการเอง คนคุมคุกถูกซิมบาโด้ด่าเป็นระยะๆ ว่าไม่ยอมทำให้สถานการณ์ในคุกสงบ คนคุมคุกเลยเหมือนแค่ทำตามคำสั่งของคนที่สูงกว่าอีกที สาเหตุที่แผนนี้มันใช้ได้ก็คือว่า ความรับผิดชอบจะตกอยู่กับคนที่อำนาจสูงกว่า คนคุมคุกเลยจะทำบ้าอะไรก็ได้ เพราะก็แอบรู้ในใจว่าถ้ามันมีอะไรผิดประหลาดเกิดขึ้นจริงๆ เดี๋ยวซิมบาโด้ก็จะรับผิดชอบเอง

เอาล่ะตอนนี้เราเริ่มรู้รากของความชั่วกันแล้ว ตอนหน้ามาดูกันต่อว่า ทำให้การทดลองนี้ทำไมมันถึงดังเป็นพิเศษ

ป.ล. ขออภัยที่โพสต์ช้ามาก เพราะว่าคนเขียนป่วย แล้วก็กำลังย้ายบ้าน (ในเวลาเดียวกัน)

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ช็อต

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์สั่งให้ทหารเยอรมันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนยิว คนยิวตายไปหกล้านคน มันหาคนมาจากไหนที่จะบอกให้ไปฆ่าใครก็ฆ่าได้ขนาดนั้น สั่งให้ทหารออกไปฆ่าคนรายวันได้ ช่วงนั้นนักจิตวิทยาเลยสนใจกันมากว่า ทหารฮิตเลอร์ทำงี้ได้ยังไง นักจิตวิทยาสังคมคนนึงชื่อ แสตนลีย์ มิลแกรม (Stanley Milgram) สร้างการทดลองทางจิตวิทยาขึ้นมาอันนึงที่มหาวิทยาลัยเยลซึ่งเป็นมหาลัยที่ได้รับการยอมรับนับถือมากในประเทศอเมริกา การทดลองนี้ดังมากๆ สามารถเปิดดูวิกิพีเดียได้ แต่ว่าผมก็จะเอามาเล่าให้ฟังอยู่ดี
การทดลองเป็นอย่างนีี้คือ นายแสตนลีย์เรียกคนเข้ามาร่วมการทดลอง แล้วหลอกว่าเค้าต้องการศึกษาว่าคนเรียนรู้คำศัพท์ยังไง ฮ่าๆ ที่จริงแล้วไม่เกี่ยวเลย พอคนเข้ามานายแสตนลีย์ก็บอกว่า หน้าที่ของคุณก็คือเป็นคุณครู สอนให้นักเรียนจำคำศัพท์ที่อยู่บนกระดาษ ก่อนเริ่มเหยื่อเข้ามาจับมือทักทายนักเรียน ทำความรู้จักกันเรียบร้อย แต่ว่าเหยื่อของเราไม่รู้หรอกว่านักเรียนที่ว่านี้เป็นหน้าม้าของนายแสตนลีย์ วิธีที่ครูสอนก็คือ ครูจะอยู่ห้องนึงอ่านคำศัพท์ให้นักเรียนฟังผ่านทางเสียงตามสาย ถ้านักเรียนจำคำศัพท์ไม่ได้ ให้กดปุ่มช็อตไฟฟ้าซึ่งหน้าตาเป็นแบบนี้

ถ้านักเรียนทำผิดครั้งต่อไปก็ให้กดปุ่มถัดไปซึ่งไฟจะช็อตแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เขียนไว้ชัดด้วยๆ ถ้ากดถึงปุ่มสุดท้ายคนถูกช็อตอาจตายได้ แต่ที่จริงแล้วหน้าม้าของเราที่ปลอมเป็นนักเรียนไม่ได้ถูกช็อตเลย พอกดปุ่มก็จะเปิดเสียงร้องจ๊ากที่อัดไว้ก่อนแล้ว ว่าง่ายคือปุ่มช็อตที่จริงก็คือปุ่มเล่นเทปนั่นเอง เริ่มกันเลยดีกว่า
ผิดครั้งแรก กดปุ่มปุ๊บ นักเรียนก็ร้องอู๊ย ปุ่มที่สอง ร้องอะจ๊าก ปุ่มถัดๆไป ปุ๊บก็ตะโกนไม่ไหวแล้วนะโว้ยปล่อยตูออกไป ... คราวนี้คุณครูก็งงไม่รู้ทำไงต่อเพราะไม่อยากจะช็อตนักเรียนไปเรื่อยๆ เลยหันไปถามนายแสตนลีย์ นายแสตนลีย์ก็ตอบว่า

กรุณาดำเนินการทดลองต่อไป...

ถ้าถามอีกก็จะบอกว่า

การทดลองกำหนดว่าคุณต้องดำเ
นินการต่อ...

... พอปุ่มหลังๆ นักเรียนไม่ตอบสนอง ทำเหมือนกับสลบไปแล้ว ถามคำศัพท์ก็หยุดตอบแล้ว แต่ว่านายแสตนลีย์ก็บอกว่า ไม่ตอบก็ถือว่าผิด ให้ช็อตไฟฟ้าต่อไป

ปรากฎว่าคนส่วนใหญ่ช็อตจนถึงปุ่มสุดท้าย ทั้งๆที่ป้ายเขียนว่าไฟฟ้าแรงมากๆ นักเรียนอาจจะตายได้... เกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ย ทำไมชาวบ้านที่ไม่มีพิษมีภัยถึงทำกับอีกคนอย่างนี้ให้ลงคอ เห็นชัดๆว่า ถ้าเกิดไม่มีนายแสตนลีย์คอยบอกให้ช็อตคนไปเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่คงไม่ช็อตไปถึงปุ่มสุดท้าย สิ่งที่เค้าต้องการจะชี้ให้เห็นคือว่า เราสามารถถูกบอกให้ทำอะไรร้ายๆ ได้ถ้ามีบุคคลที่แสดงอำนาจเหนือเรา ปัจจัยที่ทำให้คนตกอยู่ในอำนาจ ก็แนวโน้มของคนที่ชอบทำตามสิ่งที่คนอื่นบอกให้ทำเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน พอเราไม่รู้จะตัดสินใจยังไงก็ทิ้งให้การตัดสินใจไปอยู่กับคนอื่น นี่คือประเด็นหลักประเด็นแรกของการทดลอง ซึ่งทำให้โยงไปถึงประเด็นที่สองของการทดลองนี้ เรารู้สึกเหมือนว่าเราแค่ทำตามคำสั่งของคนที่มีอำนาจ ถ้ามีอะไรร้ายๆเกิดขึ้น ความรับผิดชอบก็จะไปตกอยู่กับคนที่มีอำนาจสั่งการ ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเราจะไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เราทำ สองประเด็นนี้ทำให้เราเข้าใจว่าทหารนาซีจับคนยิวไปเข้าเตาอบรมควันพิษตายเป็นเบือได้ทุกวันได้ยังไงกัน รู้ๆกันอยู่ว่าระบบทหารมันเป็นลำดับขั้นตามยศ นายใหญ่สั่งมาก็ทำไป ถ้ามีอะไรแย่ๆ คนก็ไปโทษนายใหญ่ อย่างง่ายๆ เลย เราก็คิดว่าฮิตเลอร์โหยมันโหดไม่สมควรเป็นคนอีกต่อไปเพราะว่าฆ่าคนยิวเยอะมาก แต่จริงๆ นายฮิตเลอร์อาจจะไม่ได้ฆ่าคนยิวด้วยตัวเค้าเองเลยแม้แต่คนเดียวก็ได้ แต่สั่งทหารไปฆ่าแทน เห็นมั้ยครับว่าเราก็โทษเอาคนที่สั่งการ ไม่เคยมีใครไปหารายชื่อทหารตอนนั้นแล้วมาแปะปราณามกลางสนามหลวงเลย ทหารเยอรมันตอนนั้นก็คงรู้สึกอย่างเดียวกัน แล้วก็แค่ทำตามคำสั่งไปเท่านั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปมันโหดเกินมนุษย์อยู่
แต่ว่านักจิตวิทยาสังคมไม่หยุดอยู่แค่นี้ครับ เค้าไขว่คว้าค้นหาต่อไปว่าทำไมคนถึงทำเลวได้ ติดตามตอนหน้า


วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตามน้ำ

คนไทยชอบตามฝรั่ง ตามญี่ปุ่น ตามเกาหลี เคยสงสัยรึเปล่าว่าฝรั่งเค้าตามใครกัน ฝรั่งเค้าตามนิการากัว หรือกัวเตมาลา กันรึเปล่า หรือว่าฝรั่งตามฝรั่งกันเอง ที่จริงแล้วนิสัยการตามนี่ก็เป็นกันทุกคนนั่นแหละ ลองดูวิดีโอนี้



อันนี้คลาสสิกมากใครเรียนจิตวิทยาต้องได้ดู และได้ฮากันทุกคน นิสัยการตามเป็นสิ่งแรกๆที่นักจิตวิทยาเค้าค้นพบกันเลยทีเดียว (สามารถสังเกตได้ว่าวิดีโอมันเก่ามาก) ไอเดียหลักๆ ก็คือมนุษย์ต้องอยู่ในสังคมถึงจะมีชีวิตอยู่รอดได้ (หรือตอนที่โรงเรียนสอนๆ กัน ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม) และสังคมย่อมมีผลต่อพฤติกรรมคน สาขาจิตวิทยาสังคมโผล่ขึ้นมาเป็นสาขาย่อยในจิตวิทยาอีกทีนึง เพื่อจะศึกษาว่าสังคมมีอิทธิพลต่อคนยังไงบ้าง เช่น เรื่องนิสัยตามน้ำที่ได้ดูกันวิดีโอ นักจิตวิทยาสังคมเค้ามีทฤษฎีของเค้าว่า คนชอบตามน้ำกันไปเพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับของสังคมนั้นๆ เพื่อจะได้อยู่รอดได้ (เอาซะง่ายๆแบบนี้ล่ะ) แล้วจะขยายทฤษฎีไปครอบคลุมถึงว่าทำไมคนบางกลุ่มถึงชอบตามแฟชัน หรือทำกิจกรรมตามกลุ่มเพื่อนเป็นต้น มีการทดลองเกี่ยวกับการตามน้ำของคน อันนี้แสบมากๆ นักจิตวิทยาชื่อ นายโซโลมอน แอช (Solomon Asch) เรียกคนเข้ามาร่วมการทดลอง สิ่งที่เค้าให้ทำคือให้นั่งในห้องประชุมพร้อมกับผู้ร่วมการทดลองคนอื่น ๆ อีกประมาณสี่ห้าคน แล้วจะโชว์รูปภาพข้างล่างนี้ให้ดู



แล้วให้ตอบคำถามตามรูปภาพ เช่น เส้นไหนยาวที่สุด เส้นไหนยาวเท่ากัน
แต่คนร่วมการทดลองไม่รู้ว่า คนอื่นที่นั่งอยู่น่ะจริงๆ เป็นหน้าม้า กฎก็คือเวลาตอบคำถามต้องตอบให้คนอื่นได้ยินด้วย แล้วหน้าม้าจะตอบก่อนตลอดแล้วก็ตอบผิดตลอด โอเค เริ่มภาพแรกเส้นซ้ายยาวกว่าเส้น A แบบเห็นๆ คนทำการทดลองก็ถามคนในห้องทีละคนว่าว่าเส้นไหนยาวกว่า หน้าม้าทุกคนตอบว่าเส้น A หมด คนที่ร่วมการทดลองตัวจริงก็งงๆ แล้วก็ตอบว่าเส้น A ยาวกว่า ... อื่ม.. อาจจะเป็นไปได้ว่าหมอนั่นมันโง่เอง เลยทำการทดลองแบบเดิมเนี่ยแหละ แต่ลองเรียกคนอื่นเข้ามา ผลปรากฎเหมือนเดิม ทำกี่ทีๆ ผลก็เหมือนเดิม ยกเว้นบางคนที่ยอมแหกคอกแล้วให้คำตอบที่ถูกมา แต่ว่าคนพวกนั้นเป็นส่วนน้อย คำตอบมันง่ายนิดเดียว ถ้าไม่มีหน้าม้ามาทำให้เขว คนส่วนใหญ่จะตอบถูกหมด เท่านี้ยังไม่พอถ้าทำการทดลองนี้โดยที่เปลี่ยนจำนวนหน้าม้าในห้อง ปรากฎว่าถ้าจำนวนหน้าม้าเพิ่มขึ้นคนยิ่งตอบผิดมากขึ้น จากการทดลองนี้ นักจิตวิทยาสังคมก็พิสูจน์ว่าคนรอบข้างมีผลต่อการตัดสินใจของคนจริงๆ แม้ว่าการตัดสินใจนั้นมันง่ายขนาดนั้นก็ตามที เรียกได้ว่าถ้าคนเยอะพอ นักจิตวิทยาสามารถชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้จริงๆ

แต่นี่ดูเหมือนจะไม่ได้น่าสนใจเท่าไร เพราะว่าที่การตามน้ำเช่น คนตามแฟชัน หรือทำอะไรตามเพื่อนเนี่ย ก็เป็นเพราะเค้าอยากทำอย่างนั้นเอง ทำแล้วไม่เดือดร้อนใคร แล้วก็ดูเหมือนคนก็จะมีความสุขด้วยที่ ทำผมน้ำตาลเกลียวโนเนะเหมือนนิตยสารแฟชั่น หรือสามารถร้องเพลงเกาหลีเหมือนเพื่อนที่โต๊ะมหาลัยได้ อันนี้เค้าเรียกว่าตามน้ำตามกระแส แต่ว่าตามใจตัวเองในระดับนึง
แต่ในบางทีคนทำตามคำสั่งคนอื่นทั้
งๆ ที่ไม่อยากจะทำ เช่น ทหารนาซีฆ่าคนยิวตายเป็นเบือตอนหลังสงครามโลก ฮิตเลอร์เก่งขนาดหากองทัพที่คนมันโหดขนาดฆ่าชาวบ้านได้เยอะๆ อย่างนั้นเลยเหรอ หรือว่าคนเยอรมันมันเหี้ยมอย่างนี้ทุกคน หรือว่าอะไรกัน เหตุการณ์นี้ทำให้นักจิตวิทยาสังคเกิดอยากรู้ว่าทำไมคนถึงทำชั่วตามที่คนอื่นสั่งได้ ถ้ารู้ต้นเหตุของความชั่ว นักจิตวิทยาสังคมก็จะกลายเป็นฮีโร่ คุ้มครองโลกโดยสกัดต้นเหตุของความชั่วร้าย อื่ม... ฟังดูดีนะ ไว้มาดูกันว่ามันง่ายอย่างงั้นจริงรึเปล่า ดูกันตอนหน้า

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อินโทร

คิดมาอยู่นานแล้วจะเขียนอะไรสักอย่างกับสาขาที่ตัวเองเคยเรียนมา แต่ก็ไม่ได้เขียนเพราะคิดว่ารู้เนื้อหาไม่แน่น กลัวไม่มีเวลาเขียนแล้วออกมาห่วยแล้วคนเอาไปค่อนว่า ต่อไปนี้จะเลิกสนใจ และจะเขียนแค่ทดสอบว่ามั่วให้คนรู้เรื่องและสนใจได้มากแค่ไหน

รูปแบบ ง่ายๆ สั้นๆ เบาๆ รีบๆอ่าน รีบๆจบ แต่ว่าเนื้อหาตันๆ เอาไปเล่าให้คนข้างบ้านฟังต่อได้

เดือนที่แล้วเพิ่งเรียนจบจากสาขาที่คนไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเรียนอะไรกัน เรียนมาทางด้าน นูโรไซแอนส์ เน้นไปทาง จิตวิทยา ที่สองสาขานี้มันมารวมกันได้เพราะว่า ตอนนี้คนเค้ากำลังอยากรู้ว่า ทำไมคนมันถึงทำตัวแปลกๆ ในหลายๆด้าน ว่าง่่ายๆ อยากรุ้ว่าสิ่งที่คนทำน่ะ "ใช้สมองส่วนไหนคิด" เพราะฉะนั้นแต่ละตอนจะเริ่มที่พฤติกรรมคนก่อน แล้วก็มาดูว่าสมองส่วนไหนคิด (เท่าที่คนเค้าเคยศึกษามา) เวลาพูดถึงเรื่องจิตวิทยาแล้วเค้าจะเริ่มตามลำดับความใหญ่

(จากเล็กไปใหญ่) เช่น
เล็กมากๆ ยีนส์ ตัวไหนทำให้เก่งเลข
เล็กมาก เซลล์ไหน ต่อกัน แล้วทำให้เดินแล้วชักกระตุก
เล็ก ระบบไหนในสมอง ที่ทำให้คนติดแม่ ติดเกม ติดบุหรี่
กลางๆ ทำไมคนแต่ละคนถึงไม่เหมือนกัน ฉันชอบก๋วยเตี๋ยว เธอชอบกินเฉาก๊วย
ใหญ่ๆ ทำไมคนมารวมกันแล้วทำอะไรพิลึกๆ

เราจะพยายามพูดลำดับจากใหญ่ไปเล็ก แล้วแต่จะตามสะดวก พรุ่งนี้จะเริ่มอย่างที่ใหญ่สุดก่อน นับว่าเป็นสิ่งแรกๆ เลยที่นักจิตวิทยาค้นพบ ทำไมคนถึงฆ่ากันได้ แล้วทำไมสมองคนถึงมีสั่งการให้ฆ่ากัน ลองมาฟังพรุ่งนี้

(คิดว่าจะให้แต่ละตอนยาวประมาณนี้ละกัน คิดว่าไม่น่าจะใช้เวลาอ่านนานเกิน)