หลังจากได้เห็นความน่ารักน่าหยิกของลิงที่เกาะแม่นิ่มๆ กับความเศร้าแซ้ดของลิงที่เกาะแม่แข็งๆ ไปแล้ว นายฮาร์โลวยังสังเกตอะไรอีกอยากนึง ไอ้ลิงที่ได้เกาะแม่นิ่มๆ มันจะชอบออกไปเดินเพ่นพ่านดูโน่นดูนี่ โลดโผน โจนทะยานไปเรื่อย แต่ว่าไอ้ลิงที่เกาะแม่แข็งจะไม่เซลฟ์เท่า จะออกไปเขย่อแขย่ง ไม่ค่อยกล้าออกไปผจญภัยเท่าไร นายฮาร์โลวเลยไปคุยกับนักจิตวิทยาพัฒนาการแล้วถามว่าเด็กมันเป็นอย่างนี้เหมือนกันรึเปล่า อื่ม... นักจิตวิทยาพัฒนาการก็ออกบอกว่า เอ ก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าเป็นธรรมชาติของเด็กที่จะออกไปวิ่งเล่น ผจญภัยไปเรื่อย แต่อาจเป็นเพราะว่าเด็กที่เห็นคือเด็กที่มีพ่อแม่ปกติทั่วไป อื้ม ลองมาทำการทดลองดีกว่า มากันดิ๊ว่าเด็กจะทำตัวยังไงถ้าจู่ๆ พ่อแม่หายไปแว้บนึงแล้วกลับเข้ามา เด็กยังจะคลานออกไปเล่น คุ้ยเขี่ยอะไรอยู่เหมือนเดิมรึเปล่า
การทดลองนี้คลาสสิคทีเดียว การทดลองนี้ดังมากมีชื่อว่าสถานการณ์แปลกวิสัย (Strange situation) การทดลองนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนขนาดนั้น แต่ว่าอาศัยมีการจัดฉากเล็กน้อย
ฉากแรก
แม่อุ้มเด็กเข้ามาในห้องที่มีของเล่นมากมาย ปล่อยเด็กให้คลานไปเอาของเล่นมาเล่น กลิ้งไปกลิ้งมา
ฉากที่สอง
แม่ก็บอกว่า ลูกจ๋าเดี๋ยวสักพักแม่กลับมานะจ๊ะ ว่าแล้วพี่เลี้ยงที่เป็นผู้ช่วยนักจิตวิทยาก็เดินเข้าเปลี่ยนมือกับแม่
ฉากที่สาม
ปล่อยให้เด็กอยู่กับพี่เลี้ยงคนนั้นไปสักแป๊บนึง
ฉากที่สี่
แม่กลับเข้ามาเปลี่ยนมือกับพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงก็แอบย่องออกไปปล่อยให้แม่กับเด็กอยู่ด้วยกันสองคน
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้นักจิตวิทยาก็แอบมองผ่านกระจกแล้วก็จดๆ พฤติกรรมเด็กในแต่ละฉาก การทดลองแบบนี้เป็นการทดลองแบบสำรวจ ไม่มีการทำสถิติหรืออะไรอย่างการทดลองที่เคยผ่านมา นักจิตวิทยาก็แค่ดูเฉยๆ แล้วก็สรุปว่าเห็นอะไรบ้าง เอ้าเห็นอะไรบ้างล่ะ
ฉากแรก
เด็กก็วิ่งพล่านไปทั่วหยิบหาของเล่นมาเล่นกับแม่อะไรก็ว่าไป ดูความสุขน่ารักคิกขุไปงั้นเอง
ฉากที่สอง
เด็กเริ่มเหวอ หวา แม่หายไปแล้ว ไปไหนล่ะเนี่ย ไปไหนละเนี่ย
ฉากที่สาม กับฉากที่สี่นี่แหละครับที่น่าสนใจ เด็กแต่ละคนก็ต่างกันไปแต่ว่า ดูเหมือนว่าพฤติกรรมจะมีอยู่สามรูปแบบด้วยกัน
รูปแบบแรก: เกาะติดเหนียวแน่น (Secure)
เพราะแม่หายไปก็เหวอเล็กน้อย ไม่ยอมเล่นของเล่นอีกต่อไป พี่เลี้ยงมาปลอบก็ไม่ฟังไม่สนใจ พอแม่กลับเข้ามาก็รีบกระโดดเกาะแม่ ให้แม่อุ้มว่าเข้าไปนั่น เด็กประมาณ 70% แสดงพฤติกรรมอยู่ในรูปแบบแรก อื่มก็คือเด็กส่วนใหญ่บ้านๆ ทั่วไปนั่นเอง แล้วอีก 30% ที่เหลือล่ะ..
รูปแบบที่สอง: เกาะติดไม่เหนียวแบบปลีกตัว (Insecure-avoidant)
เด็กกลุ่มนี้ครับ พอแม่หายไปปุ๊บก็ร้องไห้ลั่นเลย แต่ว่าพอแม่กลับเข้ามาก็ทำเป็นหยิ่งไม่มองหน้า หันหลังเข้าใส่ ดูรมณ์บ่จอย ไม่พอใจเท่าไร... เด็ก 20% อยู่ในกลุ่มนี้ อื่มแปลกดี
รูปแบบที่สาม: เกาะติดไม่เหนียวแบบต่อต้าน (Insecure-resistant)
เด็กพวกนี้เป็นพวกไม่เหนียวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพอแม่หายไปปุ๊บก็ร้องลั่นเหมือนกัน แต่พอแม่กลับเข้ามา จะมาโอ๋มาอุ้มก็ไม่ให้อุ้มดิ้น คลานหนีตลอด เด็ก 10% ที่เหลืออยู่ในกลุ่มนี้ครับ
นักจิตวิทยาก็ตั้งสมมติฐานกันต่อไปว่า สไตล์การเกาะติดนี่ส่งผลไปถึงตอนโตด้วยรึเปล่า ผลปรากฎว่าเด็กที่เกาะติดแบบเหนียวแน่นจะมีเพื่อนเยอะ เข้าสังคมได้เป็นปกติ มีคนรักใคร่ ปรับตัวเข้ากับผู้คนได้ เวลามีปัญหาก็คุยกับพ่อแม่ คนรัก เพื่อนฝูงเพื่อให้ช่วยหาทางแก้ปัญหา
แต่เด็กในรูปแบบที่สอง โตขึ้นแล้วคบแฟนกี่คนๆ ก็เข้ากันไม่ได้สักที เพราะว่าไม่ค่อยอยากทุ่มเทอารมณ์ความรักความรู้สึกให้คนรอบตัวเท่าไร เพื่อนก็จะมีไม่มาก ความรักก็ไม่ค่อยมี เวลามีปัญหาอะไรก็จะไม่ค่อยบอกให้คนอื่นรู้
เด็กในรูปแบบที่สาม โตขึ้นจะไม่ค่อยอยากสนิทสนมกับใคร กังวลว่าคนอื่นไม่ชอบเรา รังเกียจเรา พอเพื่อนตีตัวออกห่างหน่อยนึง หรือเลิกกับแฟนก็จะเครียดมาก
แน่นอนครับว่าคนเรามันเปลี่ยนแปลงกันได้ เด็กอายุขวบนึงกว่าจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็ใช้เวลานานอยู่ ก็ได้เรียนรู้จากการพูดคุย คลุกคลีกับผู้คนรอบตัว อาจทำให้นิสัยและบุคลิกภาพเปลี่ยนไปได้ แต่ว่าการผลการวิจัยได้สรุปว่าคนส่วนใหญ่นั้นสไตล์การเกาะติดไม่ค่อยเปลี่ยนไปมากเท่าไรเลย
แต่ว่าแค่เราเห็นบุคลิกภาพเด็กอายุแค่ขวบนิดๆ ก็พอจะเดาอนาคตได้แล้วเหรอเนี่ย แล้วสาเหตุของบุคลิกภาพพวกนี้มาจากไหนกันล่ะ ได้มาตั้งแต่เกิด หรือว่าได้มาหลังเกิด เดี๋ยวมาคุยให้ฟังตอนหน้าครับ
วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
อุ่น
ถ้าวันนึงมีคนมาเคาะประตู แล้วบอกว่า พี่ครับ ช่วยเลี้ยงข้าวผมหน่อยหิวเหลือเกิน คุณก็อาจจะอะหยวนๆ สงสารมันเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
แต่พออีกวันนึง มาเคาะประตูอีก แล้วบอกว่า พี่ครับ ช่วยเลี้ยงข้าวผมสามมื้อต่อวันหน่อยนะครับ แล้วก็หาที่นอนให้ด้วย ขอเสื้อผ้าให้ด้วย แล้วก็ขอหนังสือให้อ่าน เอิ่ม แต่พี่อาจจะไม่รู้ว่าผมชอบเสื้อผ้าแบบไหน ชอบอ่านหนังสืออะไร งั้นผมขอตังค์ใช้แทนละกันนะครับ ของี้สักยี่สิบปีก็พอครับ
อุ้ย..งง... เอางี้เลยหรอ
ที่จริงฟังดูแล้วไม่ค่อยน่าแปลกใจสักเท่าไรนะเนี่ย พอเกิดมาเราก็เคาะประตูขอพ่อแม่เราแบบนี้ทั้งนั้นเลย ผมคิดทีไรก็ยังงงอยู่ดีว่าผมจะทำใจเลี้ยงคนอีกคนนึงยี่สิบกว่าปีได้ยังไง (อาจจะมากกว่ายี่สิบปีด้วยซ้ำถ้าลูกขี้เกียจหางานทำ)
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตอนเกิดมาต้องการความดูแลจากใครสักคนนึง ไม่เหมือนเต่าที่แม่ไข่ไว้ตามหาดแล้วก็แฉล็บเดิน เชิดหน้าหนีไม่สนใจ
หื่ม... แปลกจังเรามักจะนึกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่เหนือกว่าสัตว์ชนิดอื่น แต่ว่าทำไมเวลาเราเกิดมาแล้วทำไมถึงไม่มีความสามารถที่จะเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้ล่ะเนี่ย ที่จริงแล้วการที่เกิดมาช่วยตัวเองยังไม่ได้นี่แหละ ที่ทำให้มนุษย์น่าสนใจกว่าเต่่ากว่าปลา
คนเราเกิดมาอย่างแรกที่เราต้องการคือความสนใจจากพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ก็ไม่อยู่ก็ร้องไห้ แหกปาก แต่ว่าหน้าที่ของนักจิตวิทยาคือพยายามศึกษาว่าอะไรเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมที่เราเห็น ทำไมถึงร้องไห้แหกปากอย่างงั้นล่ะเนี่ย
อื่ม... ลองคิดกันง่ายๆ เด็กอาจจะคิดว่า อะจ้าก ถ้าพ่อแม่หนีไปฉันตายชัวร์เลย จะไปหานมกิน ข้าวกินยังไงน่ะเนี่ยก็เลยกลัว หื่ม... จริงเหรอเนี่ย มีนักจิตวิทยากลุ่มนึงสงสัยว่าอะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนยึดติดผูกพันกับพ่อแม่พี่เลี้ยงตอนยังเป็นเด็ก ทฤษฎีที่นักจิตพวกนี้ตั้งขึ้นมาเรียกว่าทฤษฎีการยึดติดผูกพัน (Attachment Theory) การทดลองแรกๆที่เกี่ยวกับทฤษฎีนี้มาจากห้องแล็บของนายแฮรี ฮาร์โลว (Harry Harlow) นายฮาร์โลวคิดว่าถ้าลองให้เด็กเลือกอยู่กับพ่อแม่ที่ให้แต่อาหารอย่่างเดียว แต่ไม่ให้ความรักความอบอุ่นเช่นไม่กอด ไม่อุ้ม ไม่ห่มผ้าให้ กับพ่อแม่ที่ให้ความอบอุ่นอย่างเดียว แต่ไม่ให้อาหารเด็กจะเลือกแบบไหน และจะส่งผลต่อบุคลิกภาพของเด็กในอนาคตยังไง
นายฮาร์โลวก็เลยจับเด็กมาให้เลือกระหว่างพี่เลี้ยงสองคน คนแรกให้ผ้าห่ม กอดรัด ให้ความรู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัย ส่วนพี่เลี้ยงอีกคนป้อนนมให้อย่างเดียว เด็กจะเลือกแบบไหน เอ...ฟังทะแม่งๆ ถ้าทำงี้กับคนจริง ก็แย่เหมือนกันนะเนี่ย กฎหมายเรื่องการเอามนุษย์มาทดลองที่เมกามันเคร่งมาก การทดลองแบบนี้ผิดกฎหมาย ทำไปถูกขังคุก นายโบวลบีเลยใช้ลูกลิงแทน เพราะว่าลิงใกล้กับคนมาก มีพฤติกรรมหลายอย่างที่เราศึกษาจากคนไม่ได้เพราะว่ามันโหดเกิน แต่ว่ากฎหมายปล่อยให้เราโหดกับลิงได้ เพราะฉะนั้นมีนักจิตบางกลุ่มที่ไม่ใช้คนในการทดลองเลยใช้ลิงเพื่อศึกษาคนนั่นเอง เดี๋ยวจะได้เห็นตัวอย่างอีกเยอะตอนพูดถึงประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience)
นายฮาร์โลวแย่งลูกลิงมาจากแม่จริงแล้วก็ฝากลิงไว้กับแม่เลี้ยงสองตัว แม่ตัวแรกทำมาจากผ้านุ่มๆซุกกอดแล้วก็รู้สึกอบอุ่นขยุ่นขยี้ ส่วนแม่อีกตัวทำจากลวดแต่ว่ามีขวดนมโผล่ออกมาทำให้เหมือนเต้านมลิง แต่ว่าแม่ทั้งสองตัวไม่ใช่ลิงแต่ว่าเอามาแต่งให้เหมือนลิง แบบรูปข้างล่าง

ผลการทดลองก็เห็นๆกันอยู่ในรุปครับลิงชอบแม่ที่ทำจากผ้ามากกว่า ถึงแม้ว่าบางทีจะแฉล็บไปขโมยนมจากแม่อีกตัวนึงบ้างเป็นระยะๆ แต่ว่าพอมีเสียงดัง มีอะไรกระทบกรงหน่อย เจ้าลูกลิงก็จะกระโดดหาแม่ที่ทำจากผ้าทันที พอแกล้งเอาแม่ที่ทำจากผ้าไปซ่อน ลูกลิงก็คลั่งหาแม่ร้องไห้ ดูดนิ้ว วิ่งพล่านหาแม่ เพราะฉะนั้นทำให้เรารู้ว่าลูกลิงยึดติดผูกพันกับกับแม่ที่ให้ความอบอุ่น เพราะฉะนั้นเราจึงแอบสรุปไปได้ว่า ตอนเราเด็กๆที่เรายึดติดผูกพันกับพ่อแม่ไม่ก็พี่เลี้ยงก็เพราะว่าเราได้รับความรัก ความอบอุ่น ไม่ใช่เพราะว่าพ่อแม่พี่เลี้ยงหาข้าวให้กินเพียงอย่างเดียว
นายฮาร์โลวยังไม่หยุดแค่นั้น นายคนนี้ยังสงสัยต่อไปอีกว่าทำไมลูกลิงถึงอยากได้ความรักความอบอุ่น ไม่ได้ก็ไม่ตายนิ่ แต่ว่าถ้าไม่ได้อาหารนี่ตายแน่นอน นายฮาร์โลวเลยเอาลิงมาอยู่กับแม่ที่ทำจากลวดเหล็กแล้วมีขวดนมติดไว้ แล้วมาดูว่าตอนโตมาแล้วจะเป็นยังไง
ปรากฎว่าลูกลิงที่ขาดความอบอุ่นแต่เล็กๆ จะไม่ค่อยไปเล่นกับลิงตัวอื่นๆ ขี้กลัว เห็นอะไรก็จะหวาดระแวงไปหมด กินข้าวก็ไม่ค่อยลง แล้วก็ท้องเสียบ่อยกว่าลิงปกติด้วย
ผลการทดลองจากนายฮาร์โลวเป็นการทดลองแรกที่พิสูจน์ว่าความรัก ความผูกพันในวัยเด็กนั้นสำคัญมากต่อการที่เด็กจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต ผมคิดถึงการทดลองนี้ทีไรก็รู้สึกจั๊กจี๋ใจขึ้นมาทุกทีเลย รู้สึกว่าโชคดีที่มากเกิดเติบโตมามีพ่อแม่รักผมประคบประหงมอย่างดีมาโดยตลอดมาเลย แล้วลองนึกถึงเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าสิครับ เด็กเหล่านั้นได้กินข้าวบ้าง ไม่ได้กินบ้างรึเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบ แต่ว่าสิ่งที่ชัดเจนคือ เด็กเหล่านี้ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงหรือใครเลย ผลการทดลองนี้อาจจะช่วยสะท้อนว่าสังคมหยิบยื่นอะไรที่ขาดไปรึเปล่าสำหรับเด็กเหล่านี้
รักพ่อแม่มากๆนะครับ :)
แต่พออีกวันนึง มาเคาะประตูอีก แล้วบอกว่า พี่ครับ ช่วยเลี้ยงข้าวผมสามมื้อต่อวันหน่อยนะครับ แล้วก็หาที่นอนให้ด้วย ขอเสื้อผ้าให้ด้วย แล้วก็ขอหนังสือให้อ่าน เอิ่ม แต่พี่อาจจะไม่รู้ว่าผมชอบเสื้อผ้าแบบไหน ชอบอ่านหนังสืออะไร งั้นผมขอตังค์ใช้แทนละกันนะครับ ของี้สักยี่สิบปีก็พอครับ
อุ้ย..งง... เอางี้เลยหรอ
ที่จริงฟังดูแล้วไม่ค่อยน่าแปลกใจสักเท่าไรนะเนี่ย พอเกิดมาเราก็เคาะประตูขอพ่อแม่เราแบบนี้ทั้งนั้นเลย ผมคิดทีไรก็ยังงงอยู่ดีว่าผมจะทำใจเลี้ยงคนอีกคนนึงยี่สิบกว่าปีได้ยังไง (อาจจะมากกว่ายี่สิบปีด้วยซ้ำถ้าลูกขี้เกียจหางานทำ)
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตอนเกิดมาต้องการความดูแลจากใครสักคนนึง ไม่เหมือนเต่าที่แม่ไข่ไว้ตามหาดแล้วก็แฉล็บเดิน เชิดหน้าหนีไม่สนใจ
หื่ม... แปลกจังเรามักจะนึกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่เหนือกว่าสัตว์ชนิดอื่น แต่ว่าทำไมเวลาเราเกิดมาแล้วทำไมถึงไม่มีความสามารถที่จะเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้ล่ะเนี่ย ที่จริงแล้วการที่เกิดมาช่วยตัวเองยังไม่ได้นี่แหละ ที่ทำให้มนุษย์น่าสนใจกว่าเต่่ากว่าปลา
คนเราเกิดมาอย่างแรกที่เราต้องการคือความสนใจจากพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ก็ไม่อยู่ก็ร้องไห้ แหกปาก แต่ว่าหน้าที่ของนักจิตวิทยาคือพยายามศึกษาว่าอะไรเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมที่เราเห็น ทำไมถึงร้องไห้แหกปากอย่างงั้นล่ะเนี่ย
อื่ม... ลองคิดกันง่ายๆ เด็กอาจจะคิดว่า อะจ้าก ถ้าพ่อแม่หนีไปฉันตายชัวร์เลย จะไปหานมกิน ข้าวกินยังไงน่ะเนี่ยก็เลยกลัว หื่ม... จริงเหรอเนี่ย มีนักจิตวิทยากลุ่มนึงสงสัยว่าอะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนยึดติดผูกพันกับพ่อแม่พี่เลี้ยงตอนยังเป็นเด็ก ทฤษฎีที่นักจิตพวกนี้ตั้งขึ้นมาเรียกว่าทฤษฎีการยึดติดผูกพัน (Attachment Theory) การทดลองแรกๆที่เกี่ยวกับทฤษฎีนี้มาจากห้องแล็บของนายแฮรี ฮาร์โลว (Harry Harlow) นายฮาร์โลวคิดว่าถ้าลองให้เด็กเลือกอยู่กับพ่อแม่ที่ให้แต่อาหารอย่่างเดียว แต่ไม่ให้ความรักความอบอุ่นเช่นไม่กอด ไม่อุ้ม ไม่ห่มผ้าให้ กับพ่อแม่ที่ให้ความอบอุ่นอย่างเดียว แต่ไม่ให้อาหารเด็กจะเลือกแบบไหน และจะส่งผลต่อบุคลิกภาพของเด็กในอนาคตยังไง
นายฮาร์โลวก็เลยจับเด็กมาให้เลือกระหว่างพี่เลี้ยงสองคน คนแรกให้ผ้าห่ม กอดรัด ให้ความรู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัย ส่วนพี่เลี้ยงอีกคนป้อนนมให้อย่างเดียว เด็กจะเลือกแบบไหน เอ...ฟังทะแม่งๆ ถ้าทำงี้กับคนจริง ก็แย่เหมือนกันนะเนี่ย กฎหมายเรื่องการเอามนุษย์มาทดลองที่เมกามันเคร่งมาก การทดลองแบบนี้ผิดกฎหมาย ทำไปถูกขังคุก นายโบวลบีเลยใช้ลูกลิงแทน เพราะว่าลิงใกล้กับคนมาก มีพฤติกรรมหลายอย่างที่เราศึกษาจากคนไม่ได้เพราะว่ามันโหดเกิน แต่ว่ากฎหมายปล่อยให้เราโหดกับลิงได้ เพราะฉะนั้นมีนักจิตบางกลุ่มที่ไม่ใช้คนในการทดลองเลยใช้ลิงเพื่อศึกษาคนนั่นเอง เดี๋ยวจะได้เห็นตัวอย่างอีกเยอะตอนพูดถึงประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience)
นายฮาร์โลวแย่งลูกลิงมาจากแม่จริงแล้วก็ฝากลิงไว้กับแม่เลี้ยงสองตัว แม่ตัวแรกทำมาจากผ้านุ่มๆซุกกอดแล้วก็รู้สึกอบอุ่นขยุ่นขยี้ ส่วนแม่อีกตัวทำจากลวดแต่ว่ามีขวดนมโผล่ออกมาทำให้เหมือนเต้านมลิง แต่ว่าแม่ทั้งสองตัวไม่ใช่ลิงแต่ว่าเอามาแต่งให้เหมือนลิง แบบรูปข้างล่าง

ผลการทดลองก็เห็นๆกันอยู่ในรุปครับลิงชอบแม่ที่ทำจากผ้ามากกว่า ถึงแม้ว่าบางทีจะแฉล็บไปขโมยนมจากแม่อีกตัวนึงบ้างเป็นระยะๆ แต่ว่าพอมีเสียงดัง มีอะไรกระทบกรงหน่อย เจ้าลูกลิงก็จะกระโดดหาแม่ที่ทำจากผ้าทันที พอแกล้งเอาแม่ที่ทำจากผ้าไปซ่อน ลูกลิงก็คลั่งหาแม่ร้องไห้ ดูดนิ้ว วิ่งพล่านหาแม่ เพราะฉะนั้นทำให้เรารู้ว่าลูกลิงยึดติดผูกพันกับกับแม่ที่ให้ความอบอุ่น เพราะฉะนั้นเราจึงแอบสรุปไปได้ว่า ตอนเราเด็กๆที่เรายึดติดผูกพันกับพ่อแม่ไม่ก็พี่เลี้ยงก็เพราะว่าเราได้รับความรัก ความอบอุ่น ไม่ใช่เพราะว่าพ่อแม่พี่เลี้ยงหาข้าวให้กินเพียงอย่างเดียว
นายฮาร์โลวยังไม่หยุดแค่นั้น นายคนนี้ยังสงสัยต่อไปอีกว่าทำไมลูกลิงถึงอยากได้ความรักความอบอุ่น ไม่ได้ก็ไม่ตายนิ่ แต่ว่าถ้าไม่ได้อาหารนี่ตายแน่นอน นายฮาร์โลวเลยเอาลิงมาอยู่กับแม่ที่ทำจากลวดเหล็กแล้วมีขวดนมติดไว้ แล้วมาดูว่าตอนโตมาแล้วจะเป็นยังไง
ปรากฎว่าลูกลิงที่ขาดความอบอุ่นแต่เล็กๆ จะไม่ค่อยไปเล่นกับลิงตัวอื่นๆ ขี้กลัว เห็นอะไรก็จะหวาดระแวงไปหมด กินข้าวก็ไม่ค่อยลง แล้วก็ท้องเสียบ่อยกว่าลิงปกติด้วย
ผลการทดลองจากนายฮาร์โลวเป็นการทดลองแรกที่พิสูจน์ว่าความรัก ความผูกพันในวัยเด็กนั้นสำคัญมากต่อการที่เด็กจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต ผมคิดถึงการทดลองนี้ทีไรก็รู้สึกจั๊กจี๋ใจขึ้นมาทุกทีเลย รู้สึกว่าโชคดีที่มากเกิดเติบโตมามีพ่อแม่รักผมประคบประหงมอย่างดีมาโดยตลอดมาเลย แล้วลองนึกถึงเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าสิครับ เด็กเหล่านั้นได้กินข้าวบ้าง ไม่ได้กินบ้างรึเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบ แต่ว่าสิ่งที่ชัดเจนคือ เด็กเหล่านี้ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงหรือใครเลย ผลการทดลองนี้อาจจะช่วยสะท้อนว่าสังคมหยิบยื่นอะไรที่ขาดไปรึเปล่าสำหรับเด็กเหล่านี้
รักพ่อแม่มากๆนะครับ :)
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ห้าเจ้าพ่อ ตอนสาม
หลังจากนั่งเก็บข้อมูล ทำสถิติกันมาหลายสิบปี นักจิตวิทยาก็ได้เครื่องมือหลักในการวัดบุคลิกภาพเป็นที่เรียบร้อย เอ... งานวิจัยพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้นเลยนิ่ จะวัดบุคลิกภาพคนทีนึงก็ต้องมานั่งแปลความ ตีความกัน ก่อนที่แบบสอบถามพวกนี้จะเอามาใช้แพร่หลายได้ นี่คือปัญหาหลักขององค์ประกอบทั้งห้า อย่าลืมว่าองค์ประกอบทั้งห้าเริ่มต้นมาจากนายกอร์ดอน ออลพอร์ทกล่าวว่าบุคลิกภาพนั้นต้องถอดรหัสออกมาจากภาษา ตอนนี้ถอดรหัสมาจากภาษาอังกฤษแล้ว ต้องมาถอดรหัสจากภาษาอื่นกันต่ออีก ตอนนี้ขอข้ามทวีปมาดูงานวิจัยบ้านเราดีกว่า
ขอทบทวนอีกทีว่าแบบสอบถามนี้ได้มายังไง ได้มาจากการเอาคำจากดิกทั้งหมดมาย่อยให้เหลือ 17,000 คำ เสร็จแล้วย่อยลงมาให้เหลือน้อยกว่านั้นอีกโดยดูว่าคำไหนใช้บ่อยในชีวิตจริง แล้วทำแบบสอบถามขึ้นแล้วมาทดสอบกับคนทุกกลุ่มอายุ ทุกอาชีพ แล้วค่อยสรุปว่าแบบทดสอบนั้นมีมาตรฐานเชื่อถือได้จริง เฮ่อ ฟังแล้วก็น่าเหนื่อยแต่โชคดีครับว่าคนไทยไม่ต้องไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น เราไปหยิบแบบสอบถามที่ใช้วัดห้าเจ้าพ่อองค์ประกอบบุคลิกภาพมาจากฝรั่งเค้า ที่นิยมสุดก็คือ NEO-FFI (หลายคนคงเคยได้ทำกันในคาบแนะแนว) เสร็จก็เอามาแปลเลยครับ เอามาแปลให้ดีๆ เนี้ยบๆ เสร็จแล้วคราวนี้ก็ต้องเอามาทดสอบกับคนทุกกลุ่มทุกอายุ... แปลแบบสอบถามแป๊บเดียวก็เสร็จเพราะมีอยู่แค่ประมาณหกสิบข้อ แต่ว่าเก็บข้อมูลอันนี้น่าเหนื่อยครับ เพราะต้องไปหาคนมา แล้วก็ต้องหาเพื่อนๆ พ่อแม่ ผู้ปกครองมาอีก ตอนนี้ NEO-FFI มีแปลเป็นภาษาไทยเรียบร้อยแล้วแต่ว่าการวิจัยยังดำเนินต่อไปครับ เพราะว่ายังเก็บตัวอย่างได้ไม่ครบ ไม่เต็มที่ อันนี้ก็ต้องรอกันต่อไป
วัดบุคลิกภาพ วัดไปทำไมกัน ไม่ได้วัดไปสนุกๆครับ เราอยากรู้ว่าบุคลิกภาพคนมีผลต่อชีวิตภายภาคหน้าของคนในด้านไหนบ้าง มากน้อยแค่ไหน ห้าเจ้าพ่อนี่เจ๋งมากครับเพราะว่าได้ผลออกมาเป็นตัวเลขคะแนนของแต่ละมิติ เพราะฉะนั้นสามารถเอามาดูเปรียบเทียบกับอย่างอื่นได้ เช่น มีคนเคยศึกษาว่า คนที่ได้คะแนนจาก Neuroticism (ความหวาดระแวง อารมณ์ไม่สม่ำเสมอ) สูง และคะแนนจาก Openness (ความเปิดอกเปิดใจ) ต่ำมีโอกาสเป็นโรคทางประสาทสูง เพราะฉะนั้นมีประโยชน์สำหรับพวกนักจิตวิทยาคลินิคไว้ตรวจคนไข้ได้ อีกตัวอย่างนึงก็คือคนที่ได้คะแนนจาก Conscientiousness (การรู้สติ รู้ผิดชอบ) สูงและ Openness สูงมีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเรียนสูง อะไรอย่างงี้ ครูแนะแนวเลยสามารถเอามาใช้ได้ พวกนักบริหารทรัพยากรบุคคลก็เอาใช้ได้
แต่ว่าชีวิตคนไม่ราบรื่นเสมอไป ต้องมีคนออกมาแย้ง คราวนี้ใครออกมาครับ แอ่นแอ๊น นักจิตวิทยาสังคมนั่นเอง มีนักจิตวิทยาสังคมนายนึงออกมาพูดว่า ..อื่ม ลองเดาสิว่าพูดว่าอะไร บุคลิกภาพวัดไม่ได้โดยตรง เพราะว่าบุคลิกภาพนั้นขึ้นอยู่กับคนรอบข้างและสถานการณ์รอบตัว เพราะฉะนั้นจะจับคนมานั่งทำแบบสอบถามแบบนี้ไม่เวิร์คแน่นอน
แต่ว่าลองคิดง่ายนะครับ คนทั้งโลกมีเยอะมาก แค่แบบสอบถามไม่กี่ข้อ จะแยกคนได้แค่ไหนกันเชียว แปลว่าอะไร แปลว่าถ้าเกิดจับคนมั่วๆ มาร้อยคนมาทำแบบสอบถามที่มีไม่กี่ข้อ ผลออกมาคือจะมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะได้คนที่มีบุคลิกภาพเหมือนกันเป๊ะสองคน สองคนจากร้อยคน อะโหยบ้าคลั่ง ถ้างี้ทั้งประเทศก็มีคนมีบุคลิกภาพเหมือนกับเราเป๊ะหกแสนกว่าคนเลยเรอะ ไม่ประหลาดไปหน่อยหรือเนี่ย เอแต่ว่าไอ้แบบสอบถามเนี่ยก็ทดสอบกันมาตั้งเยอะตั้งแยะนิ่หน่าไม่น่าจะผิด
สรุปได้ก็คือว่า แบบสอบถามที่มาจากหลักขององค์ประกอบห้าเจ้าพ่อนั้นค่อนข้างหยาบอยู่ สามารถแยกคนได้ในระดับนึงแต่ว่าไม่ได้เยอะขนาดนั้นเพราะว่าบุคลิกภาพคนมันซับซ้อนมาก อิทธิพลของสถานการณ์ก็มากระทบอีก ทำให้เราต้องมาดูว่าบุคลิกภาพโต้ตอบกับสถานการณ์ยังไงบ้าง
แล้วก็จุดอ่อนที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ แบบทดสอบนั้่นใช้ภาษาคน คนเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นจะตั้งใจตอบให้เป็นอีกทางนึงไปเลยก็ได้ ถึงแม้แถบด้านบนกระดาษจะเขียนว่า กรุณาตอบให้ตรงความจริงที่สุด
พวกนั้นคือข้อด้อยที่เราเห็นได้จากการเอาแบบสอบถามไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ถ้าเราตั้งคำถามใหม่ว่า บุคลิกภาพด้านต่างๆพัฒนาช่วงไหนของวัย อันนี้ฟรอยด์ยิ้มเลยครับ เพราะว่าทฤษฎีของฟรอยด์พูดตรงๆ เลยว่าบุคลิกภาพตอนโตได้มาจากไหน เพราะอะไร ตอนไหน แต่ว่าทฤษฎีของห้าเจ้าพ่อบอกอะไรไม่ได้เลยครับ
อีกประเด็นก็คือ เด็กครับ เด็ก เด็กทารก เด็กแต่ละคนร้องไห้ไม่เท่ากัน ดื้อไม่เท่ากัน แสดงว่าเด็กมีบุคลิกภาพตั้งแต่เกิดมาแล้ว จะเอาอะไรมาวัดบุคลิกภาพล่ะเนี่ย เด็กยังพูดไม่ได้ อ่านไม่ออกเลย จะจับมาทำแบบสอบถามก็ไม่ได้ จะจับมาคุยลุงฟรอยด์ก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ตอนหน้าดูกันว่าเราจะศึกษาบุคลิกภาพเด็กกันได้ยังไง
ขอทบทวนอีกทีว่าแบบสอบถามนี้ได้มายังไง ได้มาจากการเอาคำจากดิกทั้งหมดมาย่อยให้เหลือ 17,000 คำ เสร็จแล้วย่อยลงมาให้เหลือน้อยกว่านั้นอีกโดยดูว่าคำไหนใช้บ่อยในชีวิตจริง แล้วทำแบบสอบถามขึ้นแล้วมาทดสอบกับคนทุกกลุ่มอายุ ทุกอาชีพ แล้วค่อยสรุปว่าแบบทดสอบนั้นมีมาตรฐานเชื่อถือได้จริง เฮ่อ ฟังแล้วก็น่าเหนื่อยแต่โชคดีครับว่าคนไทยไม่ต้องไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น เราไปหยิบแบบสอบถามที่ใช้วัดห้าเจ้าพ่อองค์ประกอบบุคลิกภาพมาจากฝรั่งเค้า ที่นิยมสุดก็คือ NEO-FFI (หลายคนคงเคยได้ทำกันในคาบแนะแนว) เสร็จก็เอามาแปลเลยครับ เอามาแปลให้ดีๆ เนี้ยบๆ เสร็จแล้วคราวนี้ก็ต้องเอามาทดสอบกับคนทุกกลุ่มทุกอายุ... แปลแบบสอบถามแป๊บเดียวก็เสร็จเพราะมีอยู่แค่ประมาณหกสิบข้อ แต่ว่าเก็บข้อมูลอันนี้น่าเหนื่อยครับ เพราะต้องไปหาคนมา แล้วก็ต้องหาเพื่อนๆ พ่อแม่ ผู้ปกครองมาอีก ตอนนี้ NEO-FFI มีแปลเป็นภาษาไทยเรียบร้อยแล้วแต่ว่าการวิจัยยังดำเนินต่อไปครับ เพราะว่ายังเก็บตัวอย่างได้ไม่ครบ ไม่เต็มที่ อันนี้ก็ต้องรอกันต่อไป
วัดบุคลิกภาพ วัดไปทำไมกัน ไม่ได้วัดไปสนุกๆครับ เราอยากรู้ว่าบุคลิกภาพคนมีผลต่อชีวิตภายภาคหน้าของคนในด้านไหนบ้าง มากน้อยแค่ไหน ห้าเจ้าพ่อนี่เจ๋งมากครับเพราะว่าได้ผลออกมาเป็นตัวเลขคะแนนของแต่ละมิติ เพราะฉะนั้นสามารถเอามาดูเปรียบเทียบกับอย่างอื่นได้ เช่น มีคนเคยศึกษาว่า คนที่ได้คะแนนจาก Neuroticism (ความหวาดระแวง อารมณ์ไม่สม่ำเสมอ) สูง และคะแนนจาก Openness (ความเปิดอกเปิดใจ) ต่ำมีโอกาสเป็นโรคทางประสาทสูง เพราะฉะนั้นมีประโยชน์สำหรับพวกนักจิตวิทยาคลินิคไว้ตรวจคนไข้ได้ อีกตัวอย่างนึงก็คือคนที่ได้คะแนนจาก Conscientiousness (การรู้สติ รู้ผิดชอบ) สูงและ Openness สูงมีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเรียนสูง อะไรอย่างงี้ ครูแนะแนวเลยสามารถเอามาใช้ได้ พวกนักบริหารทรัพยากรบุคคลก็เอาใช้ได้
แต่ว่าชีวิตคนไม่ราบรื่นเสมอไป ต้องมีคนออกมาแย้ง คราวนี้ใครออกมาครับ แอ่นแอ๊น นักจิตวิทยาสังคมนั่นเอง มีนักจิตวิทยาสังคมนายนึงออกมาพูดว่า ..อื่ม ลองเดาสิว่าพูดว่าอะไร บุคลิกภาพวัดไม่ได้โดยตรง เพราะว่าบุคลิกภาพนั้นขึ้นอยู่กับคนรอบข้างและสถานการณ์รอบตัว เพราะฉะนั้นจะจับคนมานั่งทำแบบสอบถามแบบนี้ไม่เวิร์คแน่นอน
แต่ว่าลองคิดง่ายนะครับ คนทั้งโลกมีเยอะมาก แค่แบบสอบถามไม่กี่ข้อ จะแยกคนได้แค่ไหนกันเชียว แปลว่าอะไร แปลว่าถ้าเกิดจับคนมั่วๆ มาร้อยคนมาทำแบบสอบถามที่มีไม่กี่ข้อ ผลออกมาคือจะมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะได้คนที่มีบุคลิกภาพเหมือนกันเป๊ะสองคน สองคนจากร้อยคน อะโหยบ้าคลั่ง ถ้างี้ทั้งประเทศก็มีคนมีบุคลิกภาพเหมือนกับเราเป๊ะหกแสนกว่าคนเลยเรอะ ไม่ประหลาดไปหน่อยหรือเนี่ย เอแต่ว่าไอ้แบบสอบถามเนี่ยก็ทดสอบกันมาตั้งเยอะตั้งแยะนิ่หน่าไม่น่าจะผิด
สรุปได้ก็คือว่า แบบสอบถามที่มาจากหลักขององค์ประกอบห้าเจ้าพ่อนั้นค่อนข้างหยาบอยู่ สามารถแยกคนได้ในระดับนึงแต่ว่าไม่ได้เยอะขนาดนั้นเพราะว่าบุคลิกภาพคนมันซับซ้อนมาก อิทธิพลของสถานการณ์ก็มากระทบอีก ทำให้เราต้องมาดูว่าบุคลิกภาพโต้ตอบกับสถานการณ์ยังไงบ้าง
แล้วก็จุดอ่อนที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ แบบทดสอบนั้่นใช้ภาษาคน คนเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นจะตั้งใจตอบให้เป็นอีกทางนึงไปเลยก็ได้ ถึงแม้แถบด้านบนกระดาษจะเขียนว่า กรุณาตอบให้ตรงความจริงที่สุด
พวกนั้นคือข้อด้อยที่เราเห็นได้จากการเอาแบบสอบถามไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ถ้าเราตั้งคำถามใหม่ว่า บุคลิกภาพด้านต่างๆพัฒนาช่วงไหนของวัย อันนี้ฟรอยด์ยิ้มเลยครับ เพราะว่าทฤษฎีของฟรอยด์พูดตรงๆ เลยว่าบุคลิกภาพตอนโตได้มาจากไหน เพราะอะไร ตอนไหน แต่ว่าทฤษฎีของห้าเจ้าพ่อบอกอะไรไม่ได้เลยครับ
อีกประเด็นก็คือ เด็กครับ เด็ก เด็กทารก เด็กแต่ละคนร้องไห้ไม่เท่ากัน ดื้อไม่เท่ากัน แสดงว่าเด็กมีบุคลิกภาพตั้งแต่เกิดมาแล้ว จะเอาอะไรมาวัดบุคลิกภาพล่ะเนี่ย เด็กยังพูดไม่ได้ อ่านไม่ออกเลย จะจับมาทำแบบสอบถามก็ไม่ได้ จะจับมาคุยลุงฟรอยด์ก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ตอนหน้าดูกันว่าเราจะศึกษาบุคลิกภาพเด็กกันได้ยังไง
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ห้าเจ้าพ่อ ตอนสอง
รู้สึกว่าตอนที่แล้วแอบรวบรัดตัดความไปนิดนึงว่าจู่ๆจับพลัดจับผลูมาเป็นห้าเจ้าพ่อ หรือชื่อตามหนังสือเรียกว่าองค์ประกอบทั้งห้า (Big Five หรือ Five Factors) ตอนนี้จะขอถอยหลังกลับนิดนึงครับ กลับไปยุคที่นักจิตวิทยาเริ่มหยิบๆคำจาก 17,000 คำมาย่อยๆ ให้มันเป็นเหลือน้อยลง แล้วทำแบบทดสอบขึ้นมา แบบทดสอบก็ถามง่ายๆว่า ในแต่ละคำต่อไปนี้ คุณคิดว่าตรงกับบุคลิกภาพของคุณมากแค่ไหน เพื่อจะทดสอบว่าแบบทดสอบน่าเชื่อถือได้แค่ไหนก็ต้องให้ลองทำแบบทดสอบหลายๆครั้ง แล้วดูว่าผลออกมามันเหมือนเดิมรึเปล่า แต่ว่าทำอย่างนั้นไม่ได้สิ เพราะว่าสมมติเราทำแบบทดสอบไปแล้ว ให้ทำอีกทีก็แอบจำคำตอบได้ ผลออกมาก็ต้องเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นวิธีที่นักจิตวิทยาบุคลิกภาพชอบมากคือให้เพื่อนฝูง เจ้านาย พ่อแม่ จิตแพทย์ประจำตัว ลองทำแบบทดสอบด้วย แล้วดูว่าผลออกมาตรงกับเจ้าตัวมั้ย แล้วก็ลองทำแบบนี้กับคำหลายๆกลุ่ม ตาสี ตาสา ช่างก่อสร้าง แม่ค้าตลาด นักเรียน ทหาร ตำรวจ และอื่นๆ อีกมาก นักจิตวิทยากลุ่มนี้เก็บข้อมูลมาเป็นตั้งๆ เยอะๆ ทีเดียว
อื่มตอนนี้มีข้อมูลเยอะแยะใส่ในคอมพิวเตอร์ (เทคโนโลยีใหม่ของยุค) แล้วทำยังไงต่อล่ะ มีนักจิตวิทยาอีกสาขาที่เรียกว่า นักจิตวิทยาเชิงคำนวณ (Quantitative psychologists) ที่คอยคิดเทคนิควิธีทางสถิติที่จะมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางจิตวิทยาโดยเฉพาะ มีนักจิตเชิงคำนวณกลุ่มนึงคิดค้นวิธีที่ชื่อว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบแฝง (Factor analysis) เป็นวิธีการที่ใช้พวกทฤษฎีเมทริกซ์ (Matrix theory) ลองยกตัวอย่างดีกว่าว่านักจิตบุคลิกภาพเอามาใช้วิเคราะห์ข้อมูลกองเบ้อเริ่มยังไง
ไอเดียแรก ก็คือคนมีความหลากหลาย คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน(คนมีบุคลิกภาพเป็นของตัวเอง) เราอยากรู้ว่าคำถามไหนสามารถช่วยแยกแยะคนออกจากกันได้ ถ้าแบบสอบถามแยกแยะคนไม่ได้ แล้วจะให้ทำไปทำไมตัวเองนั่งทำเองอยู่บ้านก็ได้คำตอบเหมือนกับให้คนอื่นทำ ทั้งๆที่บุคลิกภาพของเรากับของคนอื่นต่างกัน
ไอเดียที่สอง ก็คือความหลากหลายของคนสามารถแยกออกมาได้เป็นองค์ประกอบย่อยๆ เราอยากรู้ว่าคำถามไหนแยกแยะคนในมิติเดียวกัน ว่าง่ายๆ ก็คือคำถามที่แยกคนในมิติเดียวกันมีองค์ประกอบของความหลายหลายเดียวกัน เช่น ถ้ามีสี่คำถาม
คุณชอบทักษิณมากน้อยแค่ไหน
คุณชอบกินไอติมมากน้อยแค่ไหน
คุณชอบกินคุกกี้มากน้อยแค่ไหน
คุณชอบสนธิมากน้อยแค่ไหน
คำถามที่ 1 กับ 4 มีอำนาจในการแยกแยะคนในมิติของการเมือง เพราะดูคำตอบแล้วเราแยกแยะคนในองค์ประกอบของความคิดเห็นทางการเมืองของคนกลุ่มนั้น
คำถามที่ 2 กับ 3 มีอำนาจในการแยกแยะคนในมิติของขนมหวาน เพราะดูคำตอบแล้วเราแยกแยะคนในองค์ประกอบของความคิดเห็นทางความหวานของคนกลุ่มนั้น
นั่นคือสองไอเดียหลักของการแยกองค์ประกอบ เทคนิคนี้ช่วยให้เรารู้ว่าคำถามไหนบ้างมีอำนาจในการแยกแยะคนในมิติเดียวกัน แล้วก็สามารถแยกแยะคนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าใช้เทคนิคนี้กับข้อมูลที่ได้มาจากการให้คนตอบแบบสอบถามทางจิตวิทยาที่เราเก็บมา เราก็จะรู้ว่าคำศัพท์คำไหนบ้างในแบบสอบถามที่แยกแยะคนในมิติเดียวกับ มีอำนาจในการแยกแยะคนมากแค่ไหน
ปรากฎว่าจากคำศัพท์ตั้งเยอะตั้งแยะเราสามารถแยกออกมาได้เป็นห้าองค์ประกอบที่สามารถอธิบายความหลากหลายของบุคลิกภาพคนได้ ห้าองค์ประกอบนั้นก็คือห้าเจ้าพ่อที่เรารู้ๆกันนั่นเอง จากนั้นมาก็มีนักจิตหลายกลุ่มที่ทดสอบแบบสอบถามทางจิตวิทยาของตัวเองแล้วลองใช้การแยกองค์ประกอบ แล้วก็ได้ห้าเจ้าพ่อ ทำกี่ทีๆ กี่แบบก็ได้ห้าเจ้าพ่อ ทำให้เรารู้ว่าองค์ประกอบหลักๆของบุคลิกภาพคนสามารถแยกออกมาได้ห้าองค์ประกอบครับผม
อื่มฟังดูดี แต่ว่าทุกอย่างในโลกมีข้อเด่น ข้อด้อย ตอนหน้ามาดูกันว่าทำไมคนถึงใช้ห้าเจ้าพ่อกันเยอะแยะ แต่ว่าไม่เยอะขนาดนั้น
เพราะฉะนั้นวิธีที่นักจิตวิทยาบุคลิกภาพชอบมากคือให้เพื่อนฝูง เจ้านาย พ่อแม่ จิตแพทย์ประจำตัว ลองทำแบบทดสอบด้วย แล้วดูว่าผลออกมาตรงกับเจ้าตัวมั้ย แล้วก็ลองทำแบบนี้กับคำหลายๆกลุ่ม ตาสี ตาสา ช่างก่อสร้าง แม่ค้าตลาด นักเรียน ทหาร ตำรวจ และอื่นๆ อีกมาก นักจิตวิทยากลุ่มนี้เก็บข้อมูลมาเป็นตั้งๆ เยอะๆ ทีเดียว
อื่มตอนนี้มีข้อมูลเยอะแยะใส่ในคอมพิวเตอร์ (เทคโนโลยีใหม่ของยุค) แล้วทำยังไงต่อล่ะ มีนักจิตวิทยาอีกสาขาที่เรียกว่า นักจิตวิทยาเชิงคำนวณ (Quantitative psychologists) ที่คอยคิดเทคนิควิธีทางสถิติที่จะมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางจิตวิทยาโดยเฉพาะ มีนักจิตเชิงคำนวณกลุ่มนึงคิดค้นวิธีที่ชื่อว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบแฝง (Factor analysis) เป็นวิธีการที่ใช้พวกทฤษฎีเมทริกซ์ (Matrix theory) ลองยกตัวอย่างดีกว่าว่านักจิตบุคลิกภาพเอามาใช้วิเคราะห์ข้อมูลกองเบ้อเริ่มยังไง
ไอเดียแรก ก็คือคนมีความหลากหลาย คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน(คนมีบุคลิกภาพเป็นของตัวเอง) เราอยากรู้ว่าคำถามไหนสามารถช่วยแยกแยะคนออกจากกันได้ ถ้าแบบสอบถามแยกแยะคนไม่ได้ แล้วจะให้ทำไปทำไมตัวเองนั่งทำเองอยู่บ้านก็ได้คำตอบเหมือนกับให้คนอื่นทำ ทั้งๆที่บุคลิกภาพของเรากับของคนอื่นต่างกัน
ไอเดียที่สอง ก็คือความหลากหลายของคนสามารถแยกออกมาได้เป็นองค์ประกอบย่อยๆ เราอยากรู้ว่าคำถามไหนแยกแยะคนในมิติเดียวกัน ว่าง่ายๆ ก็คือคำถามที่แยกคนในมิติเดียวกันมีองค์ประกอบของความหลายหลายเดียวกัน เช่น ถ้ามีสี่คำถาม
คุณชอบทักษิณมากน้อยแค่ไหน
คุณชอบกินไอติมมากน้อยแค่ไหน
คุณชอบกินคุกกี้มากน้อยแค่ไหน
คุณชอบสนธิมากน้อยแค่ไหน
คำถามที่ 1 กับ 4 มีอำนาจในการแยกแยะคนในมิติของการเมือง เพราะดูคำตอบแล้วเราแยกแยะคนในองค์ประกอบของความคิดเห็นทางการเมืองของคนกลุ่มนั้น
คำถามที่ 2 กับ 3 มีอำนาจในการแยกแยะคนในมิติของขนมหวาน เพราะดูคำตอบแล้วเราแยกแยะคนในองค์ประกอบของความคิดเห็นทางความหวานของคนกลุ่มนั้น
นั่นคือสองไอเดียหลักของการแยกองค์ประกอบ เทคนิคนี้ช่วยให้เรารู้ว่าคำถามไหนบ้างมีอำนาจในการแยกแยะคนในมิติเดียวกัน แล้วก็สามารถแยกแยะคนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าใช้เทคนิคนี้กับข้อมูลที่ได้มาจากการให้คนตอบแบบสอบถามทางจิตวิทยาที่เราเก็บมา เราก็จะรู้ว่าคำศัพท์คำไหนบ้างในแบบสอบถามที่แยกแยะคนในมิติเดียวกับ มีอำนาจในการแยกแยะคนมากแค่ไหน
ปรากฎว่าจากคำศัพท์ตั้งเยอะตั้งแยะเราสามารถแยกออกมาได้เป็นห้าองค์ประกอบที่สามารถอธิบายความหลากหลายของบุคลิกภาพคนได้ ห้าองค์ประกอบนั้นก็คือห้าเจ้าพ่อที่เรารู้ๆกันนั่นเอง จากนั้นมาก็มีนักจิตหลายกลุ่มที่ทดสอบแบบสอบถามทางจิตวิทยาของตัวเองแล้วลองใช้การแยกองค์ประกอบ แล้วก็ได้ห้าเจ้าพ่อ ทำกี่ทีๆ กี่แบบก็ได้ห้าเจ้าพ่อ ทำให้เรารู้ว่าองค์ประกอบหลักๆของบุคลิกภาพคนสามารถแยกออกมาได้ห้าองค์ประกอบครับผม
อื่มฟังดูดี แต่ว่าทุกอย่างในโลกมีข้อเด่น ข้อด้อย ตอนหน้ามาดูกันว่าทำไมคนถึงใช้ห้าเจ้าพ่อกันเยอะแยะ แต่ว่าไม่เยอะขนาดนั้น
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ห้าเจ้าพ่อ
ความพยายามที่จะค้นหา แกะ ชำแหละบุคลิกภาพมนุษย์ยังคงดำเนินต่อไป ตั้งแต่ทฤษฎีของฟรอยด์ ไปถึงแต้มหมึกรอชแชช ดูเหมือนนักจิตไม่ค่อยพอใจกับงานศึกษาด้านบุคลิกภาพซะเลย เลยมีนักจิตอีกคนยังไม่ยอมถอยครับ ชื่อว่านายกอร์ดอน ออลพอร์ท (Gordon Allport) นายกอร์ดอนคิดได้ว่าไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีไหนก็ตามในโลกที่พยายามจะอธิบายลักษณะนิสัยบุคลิกภาพคนก็ต้องใช้คำศัพท์ขึ้นมาอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นเห็นแก่ตัว บ้า มองโลกในแง่ร้าย ติงต๊อง ต้องใช้คำทั้งนั้น ว่าง่ายๆคือ ภาษากับบุคลิกภาพเป็นของที่คู่กันกับมนุษย์ เพราะฉะนั้นภาษาจะต้องเป็นสิ่งที่แปลรหัสบุคลิกภาพของมนุษย์ ข้อสังเกตอันนี้ชื่อว่า สมมติฐานพจนานุกรม (Lexical hypothesis) นายกอร์ดอนเลยคิดว่าการวัดผลทางบุคลิกภาพนั้นก็เป็นแค่การหาคำที่เหมาะสมมาใช้อธิบายบุคลิกภาพแค่นั้นเอง คำศัพท์ทุกคำของมนุษย์นั้นอยู่ในพจนานุกรม ถึงแม้มันจะมีเยอะเหลือเกิน แต่ว่าถ้าเราศึกษามันทุกคำ เราจะต้องเข้าใจบุคลิกภาพมนุษย์ได้แน่ๆ เลย เอแต่ว่าถ้ามานั่งทำเองคนเดียวคงไม่ไหว ทำยังไงดีนะ
วันรุ่งขึ้น นายกอร์ดอนเดินไปซื้อพจนานุกรมมา แล้วเอามาแจกให้นักเรียนปริญญาเอกในอาณัติ นักเรียนปริญญาเอกพวกนั้นก็งงกันใหญ่อะไรวะเนี่ย คิดว่าพวกเราอ่านหนังสือไม่ออกหรือยังไงกันเลยเอาพจนานุกรมมาให้ เพี้ยนรึเปล่าเนี่ย แต่ว่าหารู้ไม่ชะตากรรมของนักเรียนปริญญาเอกน่าสงสารเหล่านั้นดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย วันนั้นนายกอร์ดอนบอกว่าให้นักเรียนปริญญาเอกไล่คำศัพท์จากเอถึงแซด แล้วไว้ลอกคำศัพท์ที่สามารถอธิบายบุคลิกภาพในภาษาอังกฤษทุกคำแล้วเอาส่ง ไม่งั้นจะไม่ให้จบเอก
วันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่า นักเรียนเหล่านั้นไล่คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เก้าแสนกว่าคำ เพื่อหาคำบรรยายบุคลิกภาพ นับออกมาแล้วได้ หนึ่งหมื่นเจ็ดพันคำด้วยกัน หลังจากผมได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ก็รู้สึกเสียวสันหลังเหมือนกันตอนสมัครปริญญาเอก เพราะไม่รู้ว่าอาจารย์จะให้ทำอะไรบ้าง...
นายกอร์ดอนก็รู้สึกปลาบปลื้มดีใจมากว่าได้คำทุกคำที่น่าจะสามารถแกะรหัสบุคลิกภาพมนุษย์ได้ แต่... เฮ้ย หมื่นเจ็ดพันก็เยอะอยู่นะเนี่ยจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย... นายกอร์ดอนก็ทำอะไรไม่ค่อยถูกเหมือนกันก็ได้แต่หยิบเอาคำโน้นคำนี้มาจับเป็นกลุ่มๆ แล้วก็ตีความไปว่ากลุ่มคำศัพท์พวกนั้นสามารถใช้วัดบุคลิกภาพคนได้ แยกแยะคนตามกลุ่มบุคลิกภาพไปได้ แต่ว่าไม่ค่อยมีใครยอมรับเท่าไร เพราะว่าเล่นหยิบคำศัพท์มาตามใจชอบ
จากนั้นมาคำศัพท์หมื่นเจ็ดพันคำพวกนั้นก็แพร่ระบาดที่นักจิตมีเยอะเชียว นักจิตก็พวกนี้ก็ใช้วิธีเดิมๆ หยิบคำมั่วๆ มาจับกลุ่ม ทำอะไรคล้ายๆกันนี้สักประมาณสามสิบ สี่สิบปีได้ จนกระทั่งมาถึงยุคนึงที่การศึกษาบุคลิกภาพมนุษย์เริ่มไฮเทคขึ้น เริ่มเป็นระบบมากขึ้น และสามารถทำอะไรถึกๆได้มากขึ้นโดยไม่ต้องให้นักเรียนปริญญาเอกมานั่งเปิดดิกไล่หาคำศัพท์ มีนักจิตรายนึงคิดวิธีทางสถิติที่จับเอาภาษาของคนจริงในหนังสือพิมพ์ หนังสือนิยาย นิตยสารมารวมกันกับคำศัพท์หมื่นเจ็ดพันคำ รวมกับข้อมูลจากแบบสอบถามเก่าๆ ที่นักจิตคนก่อนๆเก็บไว้คร่ำครึ จับทั้งหมดนี้ยัดใส่คอมพิวเตอร์คำนวณออกมาปรากฎว่ามีคำศัพท์อยู่ ห้ากลุ่มใหญ่ด้วยกันที่อำนาจในการแยกแยะบุคลิกภาพมนุษย์ได้ เรียกว่า Big Five หรือ ห้าเจ้าพ่อ เจ้าทั้งห้านั้นก็คือ
Openness ความเปิดใจ เปิดอก
Conscientiousness การรู้สติ รู้สำนึก
Extraversion การเข้าสมาคม เข้าสังคม
Agreeableness ความน่ารัก น่าคบ
Neuroticism การหวาดวิตก หวาดระแวง
นี่นับว่าเป็นหนึ่งในผลงานยิ่งใหญ่ของวงการจิตวิทยาก็ว่าได้ครับ นักจิตกลุ่มนี้เอาคำที่อยู่ในห้าเจ้าพ่อมาทำเป็นแบบสอบถามจิตวิทยา โดยทฤษฎีของแบบสอบถามนี้ต่างจากแบบทดสอบแต้มหมึกกับวิธีของฟรอยด์ตรงที่ว่าทฤษฎีนี้คิดว่าบุคลิกภาพเป็นสิ่งที่คนสามารถเข้าถึงได้โดยที่ยังรู้สึกตัวอยู่ ไม่ต้องล้วงเข้าไปในจิตไร้สำนึกที่เรายังไม่ค่อยแน่ใจด้วยซ้ำว่ามีจริงรึเปล่า แบบสอบถามนี้ก็ตรงไปตรงมาครับ ก็ถามกันตรงๆว่า คุณคิดว่าคำแต่ละคำตรงกับบุคลิกภาพของคุณมากแค่ไหนหรืออะไรประมาณนั้น จากนั้นก็เอาใส่คะแนนว่า บุคลิกภาพของคนนั้นตรงกับแต่ละเจ้าพ่อ ในห้าเจ้าพ่อได้มากน้อยแค่ไหน
ห้าเจ้าพ่อก็ยังไม่วายโดนจับตามองครับ ตอนหน้ามาดูต่อกันว่าทำไมห้าเจ้าพ่อถึงกลายทฤษฎีใหญ่ยักสมชื่อจนถึงทุกวันนี้ แต่ละเจ้าพ่อมันแปลว่าอะไร ใช้ได้จริงรึเปล่า ตอนหน้าครับ
วันรุ่งขึ้น นายกอร์ดอนเดินไปซื้อพจนานุกรมมา แล้วเอามาแจกให้นักเรียนปริญญาเอกในอาณัติ นักเรียนปริญญาเอกพวกนั้นก็งงกันใหญ่อะไรวะเนี่ย คิดว่าพวกเราอ่านหนังสือไม่ออกหรือยังไงกันเลยเอาพจนานุกรมมาให้ เพี้ยนรึเปล่าเนี่ย แต่ว่าหารู้ไม่ชะตากรรมของนักเรียนปริญญาเอกน่าสงสารเหล่านั้นดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย วันนั้นนายกอร์ดอนบอกว่าให้นักเรียนปริญญาเอกไล่คำศัพท์จากเอถึงแซด แล้วไว้ลอกคำศัพท์ที่สามารถอธิบายบุคลิกภาพในภาษาอังกฤษทุกคำแล้วเอาส่ง ไม่งั้นจะไม่ให้จบเอก
วันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่า นักเรียนเหล่านั้นไล่คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เก้าแสนกว่าคำ เพื่อหาคำบรรยายบุคลิกภาพ นับออกมาแล้วได้ หนึ่งหมื่นเจ็ดพันคำด้วยกัน หลังจากผมได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ก็รู้สึกเสียวสันหลังเหมือนกันตอนสมัครปริญญาเอก เพราะไม่รู้ว่าอาจารย์จะให้ทำอะไรบ้าง...
นายกอร์ดอนก็รู้สึกปลาบปลื้มดีใจมากว่าได้คำทุกคำที่น่าจะสามารถแกะรหัสบุคลิกภาพมนุษย์ได้ แต่... เฮ้ย หมื่นเจ็ดพันก็เยอะอยู่นะเนี่ยจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย... นายกอร์ดอนก็ทำอะไรไม่ค่อยถูกเหมือนกันก็ได้แต่หยิบเอาคำโน้นคำนี้มาจับเป็นกลุ่มๆ แล้วก็ตีความไปว่ากลุ่มคำศัพท์พวกนั้นสามารถใช้วัดบุคลิกภาพคนได้ แยกแยะคนตามกลุ่มบุคลิกภาพไปได้ แต่ว่าไม่ค่อยมีใครยอมรับเท่าไร เพราะว่าเล่นหยิบคำศัพท์มาตามใจชอบ
จากนั้นมาคำศัพท์หมื่นเจ็ดพันคำพวกนั้นก็แพร่ระบาดที่นักจิตมีเยอะเชียว นักจิตก็พวกนี้ก็ใช้วิธีเดิมๆ หยิบคำมั่วๆ มาจับกลุ่ม ทำอะไรคล้ายๆกันนี้สักประมาณสามสิบ สี่สิบปีได้ จนกระทั่งมาถึงยุคนึงที่การศึกษาบุคลิกภาพมนุษย์เริ่มไฮเทคขึ้น เริ่มเป็นระบบมากขึ้น และสามารถทำอะไรถึกๆได้มากขึ้นโดยไม่ต้องให้นักเรียนปริญญาเอกมานั่งเปิดดิกไล่หาคำศัพท์ มีนักจิตรายนึงคิดวิธีทางสถิติที่จับเอาภาษาของคนจริงในหนังสือพิมพ์ หนังสือนิยาย นิตยสารมารวมกันกับคำศัพท์หมื่นเจ็ดพันคำ รวมกับข้อมูลจากแบบสอบถามเก่าๆ ที่นักจิตคนก่อนๆเก็บไว้คร่ำครึ จับทั้งหมดนี้ยัดใส่คอมพิวเตอร์คำนวณออกมาปรากฎว่ามีคำศัพท์อยู่ ห้ากลุ่มใหญ่ด้วยกันที่อำนาจในการแยกแยะบุคลิกภาพมนุษย์ได้ เรียกว่า Big Five หรือ ห้าเจ้าพ่อ เจ้าทั้งห้านั้นก็คือ
Openness ความเปิดใจ เปิดอก
Conscientiousness การรู้สติ รู้สำนึก
Extraversion การเข้าสมาคม เข้าสังคม
Agreeableness ความน่ารัก น่าคบ
Neuroticism การหวาดวิตก หวาดระแวง
นี่นับว่าเป็นหนึ่งในผลงานยิ่งใหญ่ของวงการจิตวิทยาก็ว่าได้ครับ นักจิตกลุ่มนี้เอาคำที่อยู่ในห้าเจ้าพ่อมาทำเป็นแบบสอบถามจิตวิทยา โดยทฤษฎีของแบบสอบถามนี้ต่างจากแบบทดสอบแต้มหมึกกับวิธีของฟรอยด์ตรงที่ว่าทฤษฎีนี้คิดว่าบุคลิกภาพเป็นสิ่งที่คนสามารถเข้าถึงได้โดยที่ยังรู้สึกตัวอยู่ ไม่ต้องล้วงเข้าไปในจิตไร้สำนึกที่เรายังไม่ค่อยแน่ใจด้วยซ้ำว่ามีจริงรึเปล่า แบบสอบถามนี้ก็ตรงไปตรงมาครับ ก็ถามกันตรงๆว่า คุณคิดว่าคำแต่ละคำตรงกับบุคลิกภาพของคุณมากแค่ไหนหรืออะไรประมาณนั้น จากนั้นก็เอาใส่คะแนนว่า บุคลิกภาพของคนนั้นตรงกับแต่ละเจ้าพ่อ ในห้าเจ้าพ่อได้มากน้อยแค่ไหน
ห้าเจ้าพ่อก็ยังไม่วายโดนจับตามองครับ ตอนหน้ามาดูต่อกันว่าทำไมห้าเจ้าพ่อถึงกลายทฤษฎีใหญ่ยักสมชื่อจนถึงทุกวันนี้ แต่ละเจ้าพ่อมันแปลว่าอะไร ใช้ได้จริงรึเปล่า ตอนหน้าครับ
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552
แต้มหมึก
ย้อนไปเมื่อ หกปีที่แล้ว ผมเพิ่งเรียนจบม.หก แม่ผมตระเตรียมเอกสารอยู่ปึกนึง จับผมขึ้นรถแล้วบึ่งไปโรงพยาบาลบ้า พอถึงแล้วผมถูกขังอยู่ในห้องกับนักจิตวิทยาคนนึง นักจิตคนนั้นก็ให้ผมดูภาพๆ นี้ แล้วถามว่าเห็นอะไรบ้าง

อื่ม... ซุปเปอร์ไซย่า ต้นไม้ ต้นหญ้า ปูนึ่ง หมี ปอด แล้วให้ภาพอื่นมาแล้วก็ถามคำถามเดียวกันภาพอื่นๆ ที่ดูแล้วไม่ค่อยจะเห็นอะไรมีความหมายเท่าไร เสร็จแล้วผมเดินออกจากห้องตรวจ แล้วนักจิตนั้นก็บอกว่าผมผ่านการทดสอบทางจิตวิทยา ให้เอาเอกสารไปยื่นให้กอพอ เตรียมตัวรับทุนไปเรียนได้ สองปีต่อมาแต้มหมึกมั่วๆ ที่ผมเห็นเมื่อตอนนั้นก็มาปรากฎบนสไลด์ในวิชาจิตวิทยาเบื้องต้นตอนปีหนึ่ง ภาพแต้มหมึกที่ว่านั้นเรียกว่า แบบทดสอบแต้มหมึกรอชแชชตามชื่อเจ้าของแบบทดสอบ
แต้มหมึกรอชแชชคือผลจากความพยายามและหยาดเหงื่อแรงงานของนักจิตวิทยาบุคลิกภาพที่พยายามจะเรียนรู้บุคลิกภาพของคน รวมถึงโรคจิตที่เกิดจากบุคลิกภาพที่คนไม่ปรารถนา แต่นายซิกมันด์ ฟรอยด์ไม่ได้มาเกี่ยวอะไรครับ เลยไม่มีอวัยวะเพศของใครมาเกี่ยวข้อง แต่ว่าหลักมันเหมือนกันตรงที่ว่าต้องการให้คนปล่อยบุคลิกภาพของมาโดยทางอ้อม ทฤษฎีของนายฟรอยด์ให้คนปล่อยบุคลิกภาพบอกมาโดยให้พูดถึงความปรารถนาที่ไม่สมหวังในวัยเด็ก หรือก็ตามที่ถูกเก็บกดไว้
แต่ว่าหลักของแบบทดสอบแต้มหมึกคือให้คนมองภาพที่ไม่มีโครงสร้างชัดเจน รายละเอียดครุมเครือ แล้วให้คนปล่อยบุคลิกภาพออกมาการตีความภาพนั่นเอง นักจิตวิทยาก็จะจดคำตอบไว้ แล้วก็เอาไปวิเคราะห์ นายรอชแชชก็ทำแต้มหมึกที่คล้ายๆกันนี้มาเยอะแยะเลย แล้วก็เก็บข้อมูลจากคนปกติ และคนไข้ แล้วเลือกออกมาสิบภาพที่เค้าคิดว่าสามารถเอามาใช้วินิจฉัยบุคลิกภาพคนได้
ตอนนี้คนสงสัยกันว่าเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ยังไง วิธีวิเคราะห์นั้นซับซ้อนมากต้องให้คนมาฝึกฝนเป็นปีถึงจะใช้แบบทดสอบนี้ได้ถูกต้อง สรุปก็คือผมก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน แต่ว่าหลักๆก็คือ แต่ละภาพจะมีสื่งที่นำมาใช้พิจารณาต่างๆกันไป บางทีก็ให้นับว่าคนที่ตอบคำถามให้คำตอบมากี่ข้อ อะไรอย่างงี้เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่คือให้นักจิตวิทยาตีความคำตอบ
นักจิตวิทยาใช้แบบทดสอบนี้กันมาเกือบร้อยปีแล้วครับ ถือว่าน่านับถือทีเดียว แต่ว่ามีนักจิตวิทยาหลายกลุ่มที่คิดว่าแบบทดสอบนี้เป็นวิทยาศาสตร์จอมปลอม เกณฑ์ที่คนใช้ตัดสินความเป็นวิทยาศาสตร์ก็คือ ถ้าทำการทดสอบซ้ำๆแล้ว จะต้องได้ผลการทดสอบเดิมเป็นส่วนใหญ่ แต่ปรากฎว่าบางทีผลการทดสอบจากนักจิตวิทยาคนละคนกันบางทีให้ผลออกมาไม่เหมือนกัน เพราะว่าผลการทดสอบเกิดจากการให้นักจิตวิทยามานั่งแปลความ ผลมันก็เลยออกมาแกว่งไปแกว่งมา ไม่ค่อยคงเส้นคงวาเท่าไร ประเด็นนี้พวกนักจิตวิทยาก็ยังตบตี ถกเถียงกันต่อไป
อ่าแต่ก็เป็นไปได้ว่านักจิตวิทยาคุณภาพมันไม่เท่ากันทุกคนนิ่ คนที่มันไม่ค่อยเก่งอาจจะตีความได้ไม่โดนเท่านักจิตวิทยาตัวจริงก็เป็นได้ แต่ว่ามีอีกสาเหตุที่นักจิตบางกลุ่มคิดว่าไอ้แต้มหมึกนี่เป็นวิทยาศาสตร์เทียม ชัดๆว่าถ้าแบบทดสอบนี้ดีจริง ผลวินิจฉัยจะต้องถูกต้อง คิดง่ายๆ ก็คือถ้านำคนไข้โรคจิตมาทำการทดสอบนี้ ผลการทดสอบต้องบอกว่าคนๆนี้เป็นคนไข้จริงๆ ปรากฎว่าผลการทดสอบมันเชื่อถือไม่ค่อยได้เท่าไร เพราะว่าบางทีผลออกมาไม่ถูกต้อง แต่ว่าประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ตบตีถกเถียงกันต่อไป
ที่น่าเป็นห่วงก็คือว่าแบบทดสอบนี้ไม่เหมือนกับดูดวงในสนุกดอทคอม หรือควิซในเฟสบุ๊ค ผลจากแบบทดสอบแต้มหมึกนี้ถูกเอามาใช้ในชั้นศาล ถ้าตอนนั้นนักจิตคนนั้นบอกว่าผมมีอาการทางจิต เท่านั้นแหละผมอาจจะหมดสิทธิรับทุนรัฐบาลเลยก็ได้ อ่าแต่นั่นอาจจะไม่สำคัญเท่าไร ผมอดมาทุนประเทศชาติก็คงไม่ได้เจริญน้อยลงหรือแย่ลง แต่ว่าถ้านักจิตใช้แบบทดสอบนี้วินิจฉัยผุ้ต้องหา แล้ววินิจฉัยผิด บอกว่าผู้ต้องหามีอาการจิต คราวนี้ถือว่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวลไป ซือกงเห็นแล้วกลุ้มใจ
ยังไม่พอครับ ตำราวิธีการวิเคราะห์ผลการทดสอบนั้นสามารถหาซื้อตามแผงหนังสือแถวบ้านทั่วไป ถ้าเกิดคนธรรมดาไปซื้อมาอ่าน แล้วตอบแบบทดสอบเพื่อแกล้งเป็นคนมีอาการทางจิตก็เป็นไปได้เหมือนกัน
สรุปก็คือนักจิตบางกลุ่มเห็นว่าแบบทดสอบนี้ยังมีรอยรั่วอยู่เยอะเลยไม่คิดเอามาใช้ แต่ว่านักจิตบางกลุ่มยังใช้อยู่เป็นชีวิตจิตใจ อันนี้ก็ยังต้องถกเถียงกันต่อไปครับ ผมจะพูดถึงแบบทดสอบแต้มหมึกอีกที ตอนที่เราพูดถึงจิตวิทยาคลินิก ตอนต่อไปมาดูกันต่อครับว่านักจิตจะงัดไม้ตายไหนมาตรวจสอบบุคลิกภาพคนอีก

อื่ม... ซุปเปอร์ไซย่า ต้นไม้ ต้นหญ้า ปูนึ่ง หมี ปอด แล้วให้ภาพอื่นมาแล้วก็ถามคำถามเดียวกันภาพอื่นๆ ที่ดูแล้วไม่ค่อยจะเห็นอะไรมีความหมายเท่าไร เสร็จแล้วผมเดินออกจากห้องตรวจ แล้วนักจิตนั้นก็บอกว่าผมผ่านการทดสอบทางจิตวิทยา ให้เอาเอกสารไปยื่นให้กอพอ เตรียมตัวรับทุนไปเรียนได้ สองปีต่อมาแต้มหมึกมั่วๆ ที่ผมเห็นเมื่อตอนนั้นก็มาปรากฎบนสไลด์ในวิชาจิตวิทยาเบื้องต้นตอนปีหนึ่ง ภาพแต้มหมึกที่ว่านั้นเรียกว่า แบบทดสอบแต้มหมึกรอชแชชตามชื่อเจ้าของแบบทดสอบ
แต้มหมึกรอชแชชคือผลจากความพยายามและหยาดเหงื่อแรงงานของนักจิตวิทยาบุคลิกภาพที่พยายามจะเรียนรู้บุคลิกภาพของคน รวมถึงโรคจิตที่เกิดจากบุคลิกภาพที่คนไม่ปรารถนา แต่นายซิกมันด์ ฟรอยด์ไม่ได้มาเกี่ยวอะไรครับ เลยไม่มีอวัยวะเพศของใครมาเกี่ยวข้อง แต่ว่าหลักมันเหมือนกันตรงที่ว่าต้องการให้คนปล่อยบุคลิกภาพของมาโดยทางอ้อม ทฤษฎีของนายฟรอยด์ให้คนปล่อยบุคลิกภาพบอกมาโดยให้พูดถึงความปรารถนาที่ไม่สมหวังในวัยเด็ก หรือก็ตามที่ถูกเก็บกดไว้
แต่ว่าหลักของแบบทดสอบแต้มหมึกคือให้คนมองภาพที่ไม่มีโครงสร้างชัดเจน รายละเอียดครุมเครือ แล้วให้คนปล่อยบุคลิกภาพออกมาการตีความภาพนั่นเอง นักจิตวิทยาก็จะจดคำตอบไว้ แล้วก็เอาไปวิเคราะห์ นายรอชแชชก็ทำแต้มหมึกที่คล้ายๆกันนี้มาเยอะแยะเลย แล้วก็เก็บข้อมูลจากคนปกติ และคนไข้ แล้วเลือกออกมาสิบภาพที่เค้าคิดว่าสามารถเอามาใช้วินิจฉัยบุคลิกภาพคนได้
ตอนนี้คนสงสัยกันว่าเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ยังไง วิธีวิเคราะห์นั้นซับซ้อนมากต้องให้คนมาฝึกฝนเป็นปีถึงจะใช้แบบทดสอบนี้ได้ถูกต้อง สรุปก็คือผมก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน แต่ว่าหลักๆก็คือ แต่ละภาพจะมีสื่งที่นำมาใช้พิจารณาต่างๆกันไป บางทีก็ให้นับว่าคนที่ตอบคำถามให้คำตอบมากี่ข้อ อะไรอย่างงี้เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่คือให้นักจิตวิทยาตีความคำตอบ
นักจิตวิทยาใช้แบบทดสอบนี้กันมาเกือบร้อยปีแล้วครับ ถือว่าน่านับถือทีเดียว แต่ว่ามีนักจิตวิทยาหลายกลุ่มที่คิดว่าแบบทดสอบนี้เป็นวิทยาศาสตร์จอมปลอม เกณฑ์ที่คนใช้ตัดสินความเป็นวิทยาศาสตร์ก็คือ ถ้าทำการทดสอบซ้ำๆแล้ว จะต้องได้ผลการทดสอบเดิมเป็นส่วนใหญ่ แต่ปรากฎว่าบางทีผลการทดสอบจากนักจิตวิทยาคนละคนกันบางทีให้ผลออกมาไม่เหมือนกัน เพราะว่าผลการทดสอบเกิดจากการให้นักจิตวิทยามานั่งแปลความ ผลมันก็เลยออกมาแกว่งไปแกว่งมา ไม่ค่อยคงเส้นคงวาเท่าไร ประเด็นนี้พวกนักจิตวิทยาก็ยังตบตี ถกเถียงกันต่อไป
อ่าแต่ก็เป็นไปได้ว่านักจิตวิทยาคุณภาพมันไม่เท่ากันทุกคนนิ่ คนที่มันไม่ค่อยเก่งอาจจะตีความได้ไม่โดนเท่านักจิตวิทยาตัวจริงก็เป็นได้ แต่ว่ามีอีกสาเหตุที่นักจิตบางกลุ่มคิดว่าไอ้แต้มหมึกนี่เป็นวิทยาศาสตร์เทียม ชัดๆว่าถ้าแบบทดสอบนี้ดีจริง ผลวินิจฉัยจะต้องถูกต้อง คิดง่ายๆ ก็คือถ้านำคนไข้โรคจิตมาทำการทดสอบนี้ ผลการทดสอบต้องบอกว่าคนๆนี้เป็นคนไข้จริงๆ ปรากฎว่าผลการทดสอบมันเชื่อถือไม่ค่อยได้เท่าไร เพราะว่าบางทีผลออกมาไม่ถูกต้อง แต่ว่าประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ตบตีถกเถียงกันต่อไป
ที่น่าเป็นห่วงก็คือว่าแบบทดสอบนี้ไม่เหมือนกับดูดวงในสนุกดอทคอม หรือควิซในเฟสบุ๊ค ผลจากแบบทดสอบแต้มหมึกนี้ถูกเอามาใช้ในชั้นศาล ถ้าตอนนั้นนักจิตคนนั้นบอกว่าผมมีอาการทางจิต เท่านั้นแหละผมอาจจะหมดสิทธิรับทุนรัฐบาลเลยก็ได้ อ่าแต่นั่นอาจจะไม่สำคัญเท่าไร ผมอดมาทุนประเทศชาติก็คงไม่ได้เจริญน้อยลงหรือแย่ลง แต่ว่าถ้านักจิตใช้แบบทดสอบนี้วินิจฉัยผุ้ต้องหา แล้ววินิจฉัยผิด บอกว่าผู้ต้องหามีอาการจิต คราวนี้ถือว่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวลไป ซือกงเห็นแล้วกลุ้มใจ
ยังไม่พอครับ ตำราวิธีการวิเคราะห์ผลการทดสอบนั้นสามารถหาซื้อตามแผงหนังสือแถวบ้านทั่วไป ถ้าเกิดคนธรรมดาไปซื้อมาอ่าน แล้วตอบแบบทดสอบเพื่อแกล้งเป็นคนมีอาการทางจิตก็เป็นไปได้เหมือนกัน
สรุปก็คือนักจิตบางกลุ่มเห็นว่าแบบทดสอบนี้ยังมีรอยรั่วอยู่เยอะเลยไม่คิดเอามาใช้ แต่ว่านักจิตบางกลุ่มยังใช้อยู่เป็นชีวิตจิตใจ อันนี้ก็ยังต้องถกเถียงกันต่อไปครับ ผมจะพูดถึงแบบทดสอบแต้มหมึกอีกที ตอนที่เราพูดถึงจิตวิทยาคลินิก ตอนต่อไปมาดูกันต่อครับว่านักจิตจะงัดไม้ตายไหนมาตรวจสอบบุคลิกภาพคนอีก
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552
การผจญภัยของน้องแน็ต (จู๋ จิ๋ม และซิกี ตอนสอง)
สมมติเพื่อนข้างบ้านคลอดลูกพอดี ชื่อว่าน้องแน็ต น้องแน็ตเกิดมาในครอบครัวบ้านๆ ที่อาศัยอยู่น่าปากซอยบ้านคุณ น้องออกมากลิ้งเล่นบนเปล และเกิดสงสัยว่าเอ... กว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่จะต้องเผชิญอะไรบ้างนะ... โชคร้ายว่าน้องแน็ตเป็นคน การที่โตจากคนตัวเล็กๆ เป็นคนตัวใหญ่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มาดูกันดีกว่าน้องแน็ตจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างกว่าโตขึ้นมาได้
แน่นอนตามหลักของลุงซิกี ฟรอยด์ น้องแน็ตต้องเผชิญกับจู๋และจิ๋ม เริ่มกันเลย
ลุงซิกีตั้งทฤษฎีการพัฒนาทางเพศและจิต โดยอาศัยหลักที่ว่าการพัฒนาทางเพศและจิตนั้นเป็นของคู่กัน และการพัฒนาการนี้มีอยู่ห้าระดับด้วยกัน ว่าง่ายๆ คือ แต่ละระดับและช่วงวัยน้องแน็ตจะมีเริ่มหมกมุ่นในวัตถุของความสุขที่ต่างๆกันไป ถ้าไม่ได้รับความสุขในระดับนั้นๆ การพัฒนาการของน้องแน็ตจะถูกตรึงเอาไว้้ในระดับนั้น (fixation) ความขัดแย้งขัดเคืองในใจก็จะซุกอยู่ในจิตไร้สำนึกและจะโผล่ออกมาในรูปของนิสัยที่พิลึกๆ มาดูกันเลย เพราะฉะนั้นน้องแน็ตจะโตขึ้นมาเป็นยังไงก็อยู่กับการพัฒนาในช่วงระดับต่างๆ นั้นเอง
ระดับแรกคือระดับปาก (oral phase) น้องแน็ตชอบเอาของเข้าปาก กัดเล็บ ดูดขวดนม หรือ ดูดนมจากเต้าของแม่เมามันส์มาก ในช่วงระดับนี้น้องแน็ตต้องการที่จะเรียนรู้ว่าเราไม่สามารถได้สิ่งที่อยากได้เสมอไป ถ้าสังคมตามใจน้องแน็ตมากๆ ในช่วงนี้มากๆ เช่น ร้องเมื่อไรก็ให้ขนม น้องแน็ตจะถูกตรึงในระดับปาก (oral fixation) โตขึ้นมาก็จะมีนิสัยเอาแต่ใจ ถ้าสังคมไม่ยอมตามใจเด็กในระดับที่เหมาะสม เช่น นมก็ไม่ให้กิน ไม่ยอมให้ของเล่นมากับขบเล่น น้องแน็ตก็จะถูกตรึงในระดับปากเช่นกัน พอโตขึ้นมาจะมีนิสัยชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง สูบบุหรี่ หรือกินจุ
พอน้องแน็ตโตมาได้ขวบกว่า น้องแน็ตต้องเผชิญด่านต่อไป ด่านที่สองคือระดับตูด (anal phase) ช่วงนี้น้องแน็ตเริ่มเบื่อเอาของเข้าปากกัดเล่นแล้ว น้องแน็ตหันมาเล่นตูดเล่นขี้แทน อื้อมันเหลืองข้นหนีบสะใจเหลือเกินอะโหย พ่อแม่น้องแน็ตก็เริ่มส่ายหัวพยายามให้น้องแน็ตเลิกเล่นขี้ เพราะฉะนั้นพ่อแม่เลยพยายามสอนน้องแน็ตใช้ห้องน้ำให้ถูกต้อง ขี้ให้ถูกที่ และก็พยายามให้เลิกเล่นขี้ ถ้าพ่อแม่จู่ๆหักดิบไม่ให้เล่นขี่้ หรือด่าน้องแน็ตไม่เหลือซาก ตอนที่น้องแน็ตพยายามทำใจให้หย่าการเล่นขี้ให้ได้ น้องแน็ตก็จะตรึงอยู่ในระดับตูด (anal fixation) โตขึ้นมาจะมีนิสัยเรื่องมาก เจ้าระเบียบ ในทางกลับกันถ้าพ่อแม่ไม่ค่อยสนใจปล่อยให้เล่นขี้ไปซะงั้น น้องแน็ตโตขึ้นมาก็เล่นขี่้เหมือนเดิม... เอ้ยไม่ใช่ โตมาก็จะมีนิสัยรกรุงรัง ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ดูแลความสะอาด ซุ่มซ่ามเบ๊อะบ๊ะ แต่ถ้าพ่อแม่พยายามช่วยน้องแน็ตปรับตัว ใช้ห้องน้ำได้ถูกต้อง น้องแน็ตก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ควบคุมตัวเองได้ บันยะบันยังได้
ตอนนี้น้องแน็ตเริ่มโตขึ้นมาแล้ว ประมาณสามขวบกว่า ระดับที่สามคือระดับจู๋ ใช่แล้วครับจู๋ในความหมายชาวบ้านๆ นี่แหละ น้องแน็ตเริ่มเล่นจู๋ อะโหยสนุกเหลือเกิน เริ่มเรียนรู้ว่าตัวเองเป็นผู้ชาย และมีจู๋ และจู๋สามารถตั้งแข็งขึ้นมาได้ น้องแน็ตช่วงนี้เริ่มอยากได้แม่มาครอบครองคนเดียว ก็เลยอิจฉาพ่อเพราะพ่ออยู่กับแม่ นอนกับแม่ตลอดเลย ปมปัญหานี้เรียกว่า ปมเอดิปัส (Oedipus complex) ปัญหาจริงๆ ก็คือพ่อตัวใหญ่แข็งแรงเหลือเกิน แย่งแม่มาจากพ่อไม่ไหว เลยกลัวไปอีกว่าพ่อจะมาตัดจู๋ทิ้ง ถ้าถูกตัดจู๋ ก็ไม่รู้จะเล่นกับอะไร อดสืบพันธุ์อีกต่างหาก น้องแน็ตเลยหวาดวิตกมากไม่รู้ทำไงดี เลยพยายามทำให้พ่อเป็นต้นแบบ และเรียนรู้ลักษณะนิสัยต่างๆจากพ่อ เพื่อให้ตนเองพ้นจากการถูกตัดจู๋ ถ้าเกิดปมนี้ไม่ถูกแก้ เหะเหะมุขเดิม น้องแน็ตจะถูกตรึงในระดับจู๋ พอโตขึ้นมาก็จะมีนิสัยหยิ่งผยอง เพื่อชดเชยกับการที่ไม่ได้แม่มาครองในช่วงระดับจู๋
เอ แต่ถ้าน้องแน็ตเป็นผู้หญิงล่ะ ผู้หญิงไม่มีจู๋ล่ะ จะมีปมอะไรบ้างมั้ย คำตอบคือ มี เรียกว่าปมอิเล็กตรา เด็กผู้หญิงก็อยากได้แม่มาครอบครองแต่เพียงผู้เดียวเหมือนกัน แต่ว่าเด็กผู้้หญิงไม่มีจู๋เลยคิดว่าคงเอาแม่มาครองคนเดียวไม่ได้ถ้าไม่มีจู๋ เลยเกิดอิจฉาจู๋พ่อขึ้นมา เด็กผู้หญิงเลยแก้ปัญหาโดยพยายามทำให้แม่เป็นต้นแบบ เพราะว่าแม่ก็ไม่มีจู๋เหมือนกัน แต่ว่าเด็กห่างเหินแม่ ไม่มีโอกาสได้เห็นแม่เป็นแบบอย่างก็จะถูกตรึงไว้ โตขึ้นมาก็จะร่านอยากได้จู๋ นอนกับผู้ชายไม่เลือก หรือไม่ก็พยายามทำให้ตัวเองเหนือกว่าผู้ชายให้ได้
เฮ่อ น้องแน็ตบอก...เหนื่อยโว้ยไหนจะห้ามไม่ให้เล่นขี้ ไหนจะกลัวถูกตัดจู๋ ลุงซิกีเลยให้น้องแน็ตพักนิดนึง ระดับต่อไปคือระดับเฉื่อย ใช่แล้วครับ ระดับเฉื่อย ช่วงนี้น้องแน็ตได้ปิดเทอมนิดนึง ก่อนที่จะก้าวสู่ระดับต่อไป ในระดับเฉื่อยไม่มีปมประหลาดอะไรให้น้องแน็ตต้องแก้
น้องแน็ตสิบขวบเลย เหลือด่านสุดท้าย นั่นก็คือระดับความต้องการทางเพศ เฮ่อเพศอีกแล้ว แต่ว่าคราวนี้น้องแน็ตโตแล้ว ความคิดอ่านเริ่มถูกควบคุมโดยอีโกได้เต็มที่ แต่ว่าระดับสุดท้ายนี้น้องแน็ตต้องพยายามเริ่มไม่พึ่งพาพ่อแม่ และพยายามเสาะแสวงหาความสุขทางเพศจากคนรอบๆตัว แต่ว่าน้องแน็ตเริ่มโตแล้วความสุขทางเพศไม่ได้มาจากการนอนกับผู้หญิงที่โรงเรียนแต่อย่างเดียว ความสุขนั้นมาจากการที่เพื่อนที่โรงเรียนยอมรับ เพื่อนฝูงรักใคร่ ถ้าเกิดไม่ได้ระดับการยอมรับจากเพื่อนๆที่โรงเรียนหรือคนอื่นในสังคม น้องแน็ตโตขึ้นมาก็จะมีชีวิตรักที่กระท่อนกระแท่น เป็นคนเย็นชา หรือไม่ก็กลายเป็นคนไร้สมรรถภาพทางเพศหรือนกเขาไม่ขันไปซะงั้น
อื่ม... จบแล้ว
เอ ฟังดูทะแม่งๆ ทำไมคราวนี้ไม่เห็นมีการทดลองอะไรเลย ทฤษฎีพวกนี้มาจากไหน นายซิกีเอาเด็กมาจับไว้แล้วลองห้ามพ่อแม่สอนลูกใช้ห้องน้ำ แล้วมาวัดนิสัยกันตอนโตอย่างงั้นเรอะ ไม่ได้ๆๆ ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะว่ามันผิดหลักศีลธรรม เอาเด็กมาทดลองแบบนั้นไม่ได้ เอ...แล้วนายซิกีไม่นั่งเทียนเอาทฤษฎีประหลาดมาจากไหนเนี่ย คำตอบก็คือ ใช่แล้วครับนายซิกีนั่งเทียนเอา คือหลักฐานจากประสบการณ์นั่งฟังคนไข้ที่เข้ามาปรึกษามาเล่าให้ฟัง แล้วก็ตีความเอามาเป็นหลักการทฏษฎีซะงั้น แต่ว่าทฤษฎีนี้มันเหมือนฟังนิทานโป๊ ฟังแล้วสนุกดีก็เลยฮิตติดชาร์ทไป นักจิตวิทยาสมัยใหม่เลิกศึกษาทฤษฎีของนายซิกีไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่ามันไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์เอาซะเลย
แต่ว่ามีนักวิชาการกลุ่มนึงครับที่นิยมประยุกต์หลักของนายซิกีอยู่เรื่อยๆ คนกลุ่มนั้นคือนักวิชาการด้านมนุษยศาสตร์ครับ เช่นลองอ่านหนังสือวรรณกรรมแล้วลองมาวิเคราะห์นิสัยตัวละครโดยใช้หลักพัฒนาการทางเพศและจิต เช่น ตัวละครตัวนี้ตอนเด็กๆ มีปัญหากระทบกระทั่งกับพ่อ พ่อชอบตบตีแม่ ตัวละครเลยถูกตรึงในระดับจู๋ ซึ่งส่งผลในท้องเรื่องตอนหลังตัวละครตัวนี้กลายเป็นเลยเย่อหยิ่งจองหอง... เฮ่อว่ากันเข้าไปนั่นไม่จบไม่สิ้นสักที
ตอนที่ผมเรียนทฤษฏีนี้ตอนปริญญาตรี เค้าไม่เน้นเลยให้เราเข้าใจเนื้อหาทฏษฎีของฟรอยด์โดยละเอียด(ตอนผมเริ่มเขียนผมต้องมาเปิดวิกิ มาเปิดตำราเก่าดู) แต่ว่าเค้าหยิบขึ้นมาสอนเพื่อชี้ให้เห็นว่านักจิตวิทยาสมัยใหม่นั้นใช้เพียงแค่วิธีการทางวิทยาศาสตร์และสถิติเท่านั้น อะไรที่ไม่มีหลักฐานการทดลองมายืนยัน เราไม่ถือนั่นคือความรู้ เป็นแค่ทฏษฎีมีพูดขึ้นมาลอยๆ เฉยๆ
บางทีผมก็อดขำไม่ได้ครับ เวลาคนพูดว่า อยากเรียนจิตวิทยาเพราะอยากเก่งแบบซิกมันด์ ฟรอยด์ ตอนนี่้ทุกคนคงเข้าใจผมแล้วนะครับ
ตอนหน้ามาดูกันว่านักจิตวิทยาสมัยใหม่ใช้วิธีอะไรในการศึกษาบุคลิกภาพของคน โทษทีตอนนี้ยาวมากๆเลย ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา
แน่นอนตามหลักของลุงซิกี ฟรอยด์ น้องแน็ตต้องเผชิญกับจู๋และจิ๋ม เริ่มกันเลย
ลุงซิกีตั้งทฤษฎีการพัฒนาทางเพศและจิต โดยอาศัยหลักที่ว่าการพัฒนาทางเพศและจิตนั้นเป็นของคู่กัน และการพัฒนาการนี้มีอยู่ห้าระดับด้วยกัน ว่าง่ายๆ คือ แต่ละระดับและช่วงวัยน้องแน็ตจะมีเริ่มหมกมุ่นในวัตถุของความสุขที่ต่างๆกันไป ถ้าไม่ได้รับความสุขในระดับนั้นๆ การพัฒนาการของน้องแน็ตจะถูกตรึงเอาไว้้ในระดับนั้น (fixation) ความขัดแย้งขัดเคืองในใจก็จะซุกอยู่ในจิตไร้สำนึกและจะโผล่ออกมาในรูปของนิสัยที่พิลึกๆ มาดูกันเลย เพราะฉะนั้นน้องแน็ตจะโตขึ้นมาเป็นยังไงก็อยู่กับการพัฒนาในช่วงระดับต่างๆ นั้นเอง
ระดับแรกคือระดับปาก (oral phase) น้องแน็ตชอบเอาของเข้าปาก กัดเล็บ ดูดขวดนม หรือ ดูดนมจากเต้าของแม่เมามันส์มาก ในช่วงระดับนี้น้องแน็ตต้องการที่จะเรียนรู้ว่าเราไม่สามารถได้สิ่งที่อยากได้เสมอไป ถ้าสังคมตามใจน้องแน็ตมากๆ ในช่วงนี้มากๆ เช่น ร้องเมื่อไรก็ให้ขนม น้องแน็ตจะถูกตรึงในระดับปาก (oral fixation) โตขึ้นมาก็จะมีนิสัยเอาแต่ใจ ถ้าสังคมไม่ยอมตามใจเด็กในระดับที่เหมาะสม เช่น นมก็ไม่ให้กิน ไม่ยอมให้ของเล่นมากับขบเล่น น้องแน็ตก็จะถูกตรึงในระดับปากเช่นกัน พอโตขึ้นมาจะมีนิสัยชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง สูบบุหรี่ หรือกินจุ
พอน้องแน็ตโตมาได้ขวบกว่า น้องแน็ตต้องเผชิญด่านต่อไป ด่านที่สองคือระดับตูด (anal phase) ช่วงนี้น้องแน็ตเริ่มเบื่อเอาของเข้าปากกัดเล่นแล้ว น้องแน็ตหันมาเล่นตูดเล่นขี้แทน อื้อมันเหลืองข้นหนีบสะใจเหลือเกินอะโหย พ่อแม่น้องแน็ตก็เริ่มส่ายหัวพยายามให้น้องแน็ตเลิกเล่นขี้ เพราะฉะนั้นพ่อแม่เลยพยายามสอนน้องแน็ตใช้ห้องน้ำให้ถูกต้อง ขี้ให้ถูกที่ และก็พยายามให้เลิกเล่นขี้ ถ้าพ่อแม่จู่ๆหักดิบไม่ให้เล่นขี่้ หรือด่าน้องแน็ตไม่เหลือซาก ตอนที่น้องแน็ตพยายามทำใจให้หย่าการเล่นขี้ให้ได้ น้องแน็ตก็จะตรึงอยู่ในระดับตูด (anal fixation) โตขึ้นมาจะมีนิสัยเรื่องมาก เจ้าระเบียบ ในทางกลับกันถ้าพ่อแม่ไม่ค่อยสนใจปล่อยให้เล่นขี้ไปซะงั้น น้องแน็ตโตขึ้นมาก็เล่นขี่้เหมือนเดิม... เอ้ยไม่ใช่ โตมาก็จะมีนิสัยรกรุงรัง ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ดูแลความสะอาด ซุ่มซ่ามเบ๊อะบ๊ะ แต่ถ้าพ่อแม่พยายามช่วยน้องแน็ตปรับตัว ใช้ห้องน้ำได้ถูกต้อง น้องแน็ตก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ควบคุมตัวเองได้ บันยะบันยังได้
ตอนนี้น้องแน็ตเริ่มโตขึ้นมาแล้ว ประมาณสามขวบกว่า ระดับที่สามคือระดับจู๋ ใช่แล้วครับจู๋ในความหมายชาวบ้านๆ นี่แหละ น้องแน็ตเริ่มเล่นจู๋ อะโหยสนุกเหลือเกิน เริ่มเรียนรู้ว่าตัวเองเป็นผู้ชาย และมีจู๋ และจู๋สามารถตั้งแข็งขึ้นมาได้ น้องแน็ตช่วงนี้เริ่มอยากได้แม่มาครอบครองคนเดียว ก็เลยอิจฉาพ่อเพราะพ่ออยู่กับแม่ นอนกับแม่ตลอดเลย ปมปัญหานี้เรียกว่า ปมเอดิปัส (Oedipus complex) ปัญหาจริงๆ ก็คือพ่อตัวใหญ่แข็งแรงเหลือเกิน แย่งแม่มาจากพ่อไม่ไหว เลยกลัวไปอีกว่าพ่อจะมาตัดจู๋ทิ้ง ถ้าถูกตัดจู๋ ก็ไม่รู้จะเล่นกับอะไร อดสืบพันธุ์อีกต่างหาก น้องแน็ตเลยหวาดวิตกมากไม่รู้ทำไงดี เลยพยายามทำให้พ่อเป็นต้นแบบ และเรียนรู้ลักษณะนิสัยต่างๆจากพ่อ เพื่อให้ตนเองพ้นจากการถูกตัดจู๋ ถ้าเกิดปมนี้ไม่ถูกแก้ เหะเหะมุขเดิม น้องแน็ตจะถูกตรึงในระดับจู๋ พอโตขึ้นมาก็จะมีนิสัยหยิ่งผยอง เพื่อชดเชยกับการที่ไม่ได้แม่มาครองในช่วงระดับจู๋
เอ แต่ถ้าน้องแน็ตเป็นผู้หญิงล่ะ ผู้หญิงไม่มีจู๋ล่ะ จะมีปมอะไรบ้างมั้ย คำตอบคือ มี เรียกว่าปมอิเล็กตรา เด็กผู้หญิงก็อยากได้แม่มาครอบครองแต่เพียงผู้เดียวเหมือนกัน แต่ว่าเด็กผู้้หญิงไม่มีจู๋เลยคิดว่าคงเอาแม่มาครองคนเดียวไม่ได้ถ้าไม่มีจู๋ เลยเกิดอิจฉาจู๋พ่อขึ้นมา เด็กผู้หญิงเลยแก้ปัญหาโดยพยายามทำให้แม่เป็นต้นแบบ เพราะว่าแม่ก็ไม่มีจู๋เหมือนกัน แต่ว่าเด็กห่างเหินแม่ ไม่มีโอกาสได้เห็นแม่เป็นแบบอย่างก็จะถูกตรึงไว้ โตขึ้นมาก็จะร่านอยากได้จู๋ นอนกับผู้ชายไม่เลือก หรือไม่ก็พยายามทำให้ตัวเองเหนือกว่าผู้ชายให้ได้
เฮ่อ น้องแน็ตบอก...เหนื่อยโว้ยไหนจะห้ามไม่ให้เล่นขี้ ไหนจะกลัวถูกตัดจู๋ ลุงซิกีเลยให้น้องแน็ตพักนิดนึง ระดับต่อไปคือระดับเฉื่อย ใช่แล้วครับ ระดับเฉื่อย ช่วงนี้น้องแน็ตได้ปิดเทอมนิดนึง ก่อนที่จะก้าวสู่ระดับต่อไป ในระดับเฉื่อยไม่มีปมประหลาดอะไรให้น้องแน็ตต้องแก้
น้องแน็ตสิบขวบเลย เหลือด่านสุดท้าย นั่นก็คือระดับความต้องการทางเพศ เฮ่อเพศอีกแล้ว แต่ว่าคราวนี้น้องแน็ตโตแล้ว ความคิดอ่านเริ่มถูกควบคุมโดยอีโกได้เต็มที่ แต่ว่าระดับสุดท้ายนี้น้องแน็ตต้องพยายามเริ่มไม่พึ่งพาพ่อแม่ และพยายามเสาะแสวงหาความสุขทางเพศจากคนรอบๆตัว แต่ว่าน้องแน็ตเริ่มโตแล้วความสุขทางเพศไม่ได้มาจากการนอนกับผู้หญิงที่โรงเรียนแต่อย่างเดียว ความสุขนั้นมาจากการที่เพื่อนที่โรงเรียนยอมรับ เพื่อนฝูงรักใคร่ ถ้าเกิดไม่ได้ระดับการยอมรับจากเพื่อนๆที่โรงเรียนหรือคนอื่นในสังคม น้องแน็ตโตขึ้นมาก็จะมีชีวิตรักที่กระท่อนกระแท่น เป็นคนเย็นชา หรือไม่ก็กลายเป็นคนไร้สมรรถภาพทางเพศหรือนกเขาไม่ขันไปซะงั้น
อื่ม... จบแล้ว
เอ ฟังดูทะแม่งๆ ทำไมคราวนี้ไม่เห็นมีการทดลองอะไรเลย ทฤษฎีพวกนี้มาจากไหน นายซิกีเอาเด็กมาจับไว้แล้วลองห้ามพ่อแม่สอนลูกใช้ห้องน้ำ แล้วมาวัดนิสัยกันตอนโตอย่างงั้นเรอะ ไม่ได้ๆๆ ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะว่ามันผิดหลักศีลธรรม เอาเด็กมาทดลองแบบนั้นไม่ได้ เอ...แล้วนายซิกีไม่นั่งเทียนเอาทฤษฎีประหลาดมาจากไหนเนี่ย คำตอบก็คือ ใช่แล้วครับนายซิกีนั่งเทียนเอา คือหลักฐานจากประสบการณ์นั่งฟังคนไข้ที่เข้ามาปรึกษามาเล่าให้ฟัง แล้วก็ตีความเอามาเป็นหลักการทฏษฎีซะงั้น แต่ว่าทฤษฎีนี้มันเหมือนฟังนิทานโป๊ ฟังแล้วสนุกดีก็เลยฮิตติดชาร์ทไป นักจิตวิทยาสมัยใหม่เลิกศึกษาทฤษฎีของนายซิกีไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่ามันไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์เอาซะเลย
แต่ว่ามีนักวิชาการกลุ่มนึงครับที่นิยมประยุกต์หลักของนายซิกีอยู่เรื่อยๆ คนกลุ่มนั้นคือนักวิชาการด้านมนุษยศาสตร์ครับ เช่นลองอ่านหนังสือวรรณกรรมแล้วลองมาวิเคราะห์นิสัยตัวละครโดยใช้หลักพัฒนาการทางเพศและจิต เช่น ตัวละครตัวนี้ตอนเด็กๆ มีปัญหากระทบกระทั่งกับพ่อ พ่อชอบตบตีแม่ ตัวละครเลยถูกตรึงในระดับจู๋ ซึ่งส่งผลในท้องเรื่องตอนหลังตัวละครตัวนี้กลายเป็นเลยเย่อหยิ่งจองหอง... เฮ่อว่ากันเข้าไปนั่นไม่จบไม่สิ้นสักที
ตอนที่ผมเรียนทฤษฏีนี้ตอนปริญญาตรี เค้าไม่เน้นเลยให้เราเข้าใจเนื้อหาทฏษฎีของฟรอยด์โดยละเอียด(ตอนผมเริ่มเขียนผมต้องมาเปิดวิกิ มาเปิดตำราเก่าดู) แต่ว่าเค้าหยิบขึ้นมาสอนเพื่อชี้ให้เห็นว่านักจิตวิทยาสมัยใหม่นั้นใช้เพียงแค่วิธีการทางวิทยาศาสตร์และสถิติเท่านั้น อะไรที่ไม่มีหลักฐานการทดลองมายืนยัน เราไม่ถือนั่นคือความรู้ เป็นแค่ทฏษฎีมีพูดขึ้นมาลอยๆ เฉยๆ
บางทีผมก็อดขำไม่ได้ครับ เวลาคนพูดว่า อยากเรียนจิตวิทยาเพราะอยากเก่งแบบซิกมันด์ ฟรอยด์ ตอนนี่้ทุกคนคงเข้าใจผมแล้วนะครับ
ตอนหน้ามาดูกันว่านักจิตวิทยาสมัยใหม่ใช้วิธีอะไรในการศึกษาบุคลิกภาพของคน โทษทีตอนนี้ยาวมากๆเลย ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)